วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555

10 อันดับเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลก


อันดับ 10 - เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย
ซิดนีย์ เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่สุดในประเทศออสเตรเลีย มีประชากรราว 4.5 ล้านคน สถานที่ท่องเที่ยวฮอตฮิตของเมืองนี้ ได้แก่ ชายหาด และอ่าวที่สวยงาม รวมทั้งสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม เช่น ซิดนีย์ โอเปร่า เฮ้าส์ เป็นต้น   นอกจากจะเป็นเมืองน่าอยู่อันดับ 10 ของโลกแล้ว Mercer ยังระบุว่า ซิดนีย์เป็นเมืองที่มีค่าครองชีพสูงเป็นอันดับ 15 ของโลกอีกด้วย
อันดับ 9 - เมืองเบอร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
เบอร์น เป็นเมืองหลวงของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่มีประชากรอาศัยมากเป็นอันดับ 5 ของประเทศ โดยมีจำนวนประชากรทั้งสิ้นราว 128,000 คน ใจกลางเมืองนี้ยังคงเอกลักษณ์ของการเป็นเมืองเก่าแก่และเต็มไปด้วยสถาปัต กรรมในยุคกลาง จึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมจากองค์การยูเนสโก
  ที่ สำคัญ เมืองเบอร์นยังเป็นสถานที่ซึ่งอัลเบิร์ต ไอน์ไตน์ เคยเข้ามาอาศัยและทำงานราวปี ค.ศ. 1903 (พ.ศ. 2446)  ปัจจุบัน บ้านของเขาซึ่งตั้งอยู่ เลขที่ 49 ถนนแครมกาซเซ่ (Kramgasse) ได้กลายเป็น พิพิธภัณฑ์บ้านไอน์ไตน์ ที่มีนักท่องเที่ยวทั่วโลกแวะมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก
อันดับ 8 - เมืองแฟรงค์เฟิร์ต  ประเทศเยอรมนี
แฟรงค์เฟิร์ต เป็นศูนย์กลางทางการเงินที่ใหญ่สุดในกลุ่มสหภาพยุโรป ทั้งยังเป็นที่ตั้งของธนาคารกลางยุโรป ตลาดหลักทรัพย์แฟรงค์เฟิร์ต และ German Federal Bank มีประชากรราว 5 ล้านคน นอกจากความมั่งคั่งทางการเงินแล้ว เมืองนี้ยังมีเอกลักษณ์อันโดดเด่นอยู่ที่วิหารแบบโกธิค สมัยศตวรรษที่ 14  ขณะเดียวกันก็มีตึกระฟ้ารูปทรงทันสมัยและสวยงามตั้งตระหง่านบริเวณใจกลาง เมืองอีกด้วย
อันดับ 7 -  เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี
มิวนิค เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศเยอรมนี และเป็นเมืองหลวงของรัฐบาวาเรีย มีประชากรราว 1.36 ล้านคน แม้จะเป็นเมืองที่เจริญและมั่งคั่งที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป แต่เมืองนี้ยังคงอนุรักษ์โบราณสถานและสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่แบบโกธิคเอาไว้ ได้เป็นอย่างดี   หลัง ถูกระเบิดโจมตีอย่างหนักถึง 71 ครั้งในช่วง 5 ปีสมัยสงครามโลกครังที่ 2  เมืองมิวนิคก็ได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่อย่างรวดเร็ว และได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ในปี ค.ศ. 1972 (พ.ศ. 2515)
อันดับ 6 - เมืองดึสเซลดอล์ฟ ประเทศเยอรมนี  
ดึสเซลดอร์ฟ เป็นเมืองหลวงของรัฐนอร์ดไรน์-เวสท์ฟาเลิน ตั้งอยู่บนแม่น้ำไรน์ ได้ชื่อว่าเป็นเมืองศูนย์กลางทางด้านแฟชั่น โฆษณา และโทรคมนาคมของประเทศเยอรมนี นอกจากนี้ ทุกๆ ปี จะมีนักท่องเที่ยวกว่า 4.5 ล้านคนทั่วโลก เดินทางมาชมขบวนพาเหรดสุดอลังการ ในช่วงเทศกาลคาร์นิวาลของเมืองดึสเซลดอร์ฟ    เมือง ดึสเซลดอร์ฟ เป็นบ้านพี่เมืองน้องหรือเมืองแฝดกับหลายๆ เมืองทั่วโลก อาทิ  เมืองวอร์ซอว์ ประเทศโปแลนด์ เมืองมอสโคว์ ประเทศรัสเซีย เมืองไคโร ประเทศอียิปต์ และ เมืองรีดดิ้ง ประเทศอังกฤษ เป็นต้น
อันดับ 4 ร่วม* - เมืองอ๊อคแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ (*คะแนนเท่ากัน 2 เมือง จึงไม่มีอันดับห้า)
อ๊อคแลนด์ ตั้งอยู่ทางเกาะเหนือ เป็นเมืองใหญ่ที่สุดและมีประชากรมากที่สุดในประเทศนิวซีแลนด์ โดยมีประชากรอาศัยอยู่ราว 1.4 ล้านคน หรือคิดเป็น 31% ของประชากรทั้งประเทศ ได้รับการขนานนามว่าเป็น "City of Sails" เนื่องจากมีท่าเทียบเรือที่สวยงามถึง 2 แห่ง คือ ท่าเรือ Waitemata ทางด้านทิศเหนือ และท่าเรือ Manukau ทางด้านทิศ
อันดับ 4 ร่วม - เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา "แวนคูเวอร์" มักได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองที่สะอาด และน่าอยู่ที่สุดในโลก เมืองดังกล่าวถือเป็นเมืองใหญ่ที่สุด และยังเป็นเมืองท่าชายฝั่งที่มีชื่อเสียงทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐบริติช โคลัมเบีย ประเทศแคนาดา   ปัจจุบัน แวนคูเวอร์ เป็นศูนย์กลางด้านการช้อปปิ้ง และการถ่ายทำภาพยนตร์ ทั้งยังเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
อันดับ 3 - เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
เจนีวา เป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับสองของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (รองจากซูริค) โดยมีประชากรอาศัยอยู่ในเขตตัวเมืองราว 185,000 คน และยังเป็นศูนย์กลางด้านการเงินที่สำคัญเป็นอันดับ 6 ของโลก   เจ นีวา ได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองนานาชาติ เนื่องจากเป็นที่ตั้งขององค์กรระหว่างชาติสำคัญๆ หลายองค์กร อาทิ สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติประจำทวีปยุโรป องค์การอนามัยโลก (WHO)  องค์การการค้าโลก (WTO) เป็นต้น นอกจากนี้ เจนีวายังเป็นสถานที่จัดตั้งองค์กรสันนิบาตชาติ และกาชาดสากล ทั้งยังเป็นต้นกำเนิดของ www (World Wide Web) ตลอดจนเครื่องเร่งอนุภาคที่มีขนาดใหญ่และมีพลังงานสูงสุดในโลก หรือที่เรียกว่า Large Hadron Collider (LHC)
อันดับ 2 - เมืองซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์  
ซูริค เป็นหนึ่งในเมืองที่มีความมั่งคั่งที่สุดในยุโรป  และมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีประชากรอาศัยอยู่ในตัวเมืองทั้งสิ้นราว 1.68 ล้านคน เมืองนี้เป็นศูนย์กลางทางด้านการค้าและวัฒนธรรมของประเทศ จนได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมของประเทศสวิตเซอร์แลนด์   นอก จากนี้ ซูริค ยังเป็นเมืองที่ได้รับการยกย่องว่ามีคุณภาพการดำเนินชีวิตดีที่สุดในโลกจาก ผลการสำรวจของหลายสำนัก นับตั้งแต่ปี ค.ศ.  2006-2009
อันดับ 1 เมืองเวียนนา ประเทศออสเตรีย
กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรเลีย ได้รับการคัดเลือกให้เป็นเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลกประจำปี 2009 จากผลการสำรวจของ Mercer   เมือง ดังกล่าวมีความเข้มแข็งและมั่นคงทั้งทางด้าน เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการเมือง ทั้งยังเป็นบ้านเกิดของพระนางมารี อังตัวเนตต์ และซิกมันด์ ฟรอยด์ นอกจากนี้ กรุงเวียนนา  ยังถูกกล่าวถึงในบทเพลงของ Ultravox และ Billy Joel อีกด้วย

15 นาทีสารคดี - ลอนดอนอาย

ทริปเกาหลี Yes! Kore

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555

||-ว้าว..50สถานที่ท่องเที่ยวของจีน...สวยๆทั้งนั้นเลย-||

เมื่อเร็วๆนี้ หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของจีน 31 ฉบับร่วมกันเปิดเผยรายชื่อสถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวต่างชาติควรเดินทางไปเยี่ยมชม หลังจากที่มีการคัดสรรโบราณสถานและแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ อาทิ พระราชวังต้องห้ามหรือ กู้กง ในกรุงปักกิ่ง ยอดเขาเอเวอร์เรสต์ที่ทิเบต เกาะฮ่องกง ทะเลสาบยื่อเยี่ยว์ถันที่ไต้หวัน ฯลฯ จนในที่สุดก็คัดเลือกมาได้สุดยอดถิ่นน่าเที่ยวของจีนทั้งสิ้น 50 แห่ง ซึ่งหลายที่ยังเป็นแหล่งมรดกโลกของจีนด้วย
      
       (เต็มอิ่มกับบางส่วนของสถานที่ท่องเที่ยวในจีนทางภาพด้านล่าง)
       

       โดยนอกจากสถานที่ท่องเที่ยวโดดเด่นที่กล่าวมาข้างต้น 4 แห่งแล้ว ยังมี เทือกเขาหวงซัน, จิ่วหัวซัน, เมืองเก่าซีตี้-หงชุนในมณฑลอันฮุย , กำแพงเมืองจีนด่านปาต๋าหลิ่งของกรุงปักกิ่ง , เกาะกู่ล่าง, สวนธรณีวิทยาไท่หนิงซื่อเจี้ยในมณฑลฝูเจี้ยน , หินสลักม่อเกาคูและเขาคงถงในมณฑลกันซู่ , หอไคผิงของมณฑลกว่างตง(กวางตุ้ง) , ถนนเก่าหยางซั่วซีเจีย และเมืองเก่าหวงเหยาของมณฑลกว่างซี(กวางสี) , เขตทิวทัศน์ซวงเหอต้งในกุ้ยโจว , เกาะอู๋จือโจวมณฑลไห่หนัน , เขตท่องเที่ยวม่อเหอเป่ยจี๋ชุนในมณฑลเฮยหลงเจียง , เขาเสินอีเจี้ยในมณฑลหูเป่ย , เขาเทียนเหมินซันที่จางเจียเจี้ย , เขาเหิงซันมณฑลหูหนัน
      
       เขตท่องเที่ยวในเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน อาทิ ทะเลทรายปาตันจี๋หลิน , เขาอาเอ่อซัน ในมณฑลเจียงซู เช่น เขตทิวทัศน์ฮวากั่วซัน , เมืองน้ำโจวจวง นอกจากนี้ยังมีเขาหลูซัน , เมืองจิ่งเต๋อเจิ้นในมณฑลเจียงซี , ทะเลสาบชิงไห่ในมณฑลชิงไห่ , สุสานจักรพรรดิจิ๋นซีและหุ่นทหาร , เขาหัวซัน , พิพิธภัณฑ์เสาหินสลักอักษรจีน , สระน้ำชิงหัวฉื่อในซีอัน มณฑลส่านซี , เขาไท่ซัน แหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตของมณฑลซันตง , เมืองเก่าจูเจียเจี่ยวในเซี่ยงไฮ้ และเมืองเก่าผิงเหยาในมณฑลซันซี , เขตทิวทัศน์ผู่ถัวในเจ้อเจียง , แหล่งโบราณสถานซันซิงตุยและจิ่วไจ้โกวอันเลื่องชื่อของมณฑลซื่อชวน (เสฉวน) ก็ติดอันดับเช่นกัน
      
       หันมาดูดินแดนเร้นลับของทิเบตทางฝั่งตะวันตกและทะเลทรายทางตอนเหนืออันแสนกันดารของประเทศจีน ได้แก่ ทะเลสาบน่ามู่ฉั้วของทิเบต , คาน่าซือ , เมืองชายแดนจีน-ปากีสถานเค่อสือ ในซินเจียง(ซินเกียง) ทางตอนใต้อาทิ หุบเขาปั่นน่าเหยี่ยเซี่ยง , ยอดเขาหิมะเหมยหลี่ , สวนธรณีวิทยาสือหลินในคุนหมิง ของมณฑลหยุนหนัน(ยูนนาน) ฯลฯ
      
       ทั้งนี้ รายชื่อสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับคัดเลือกมานี้เป็นความร่วมแรงร่วมใจของตัวแทนจากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นในเขตและเมืองต่างๆทั้ง 31 เขตรวม 31 ฉบับจัดทำขึ้น ใช้เวลาในการพิจารณา 100 วัน โดยใช้วิธีช่วยกันเสนอชื่อขึ้นมาและจัดให้ประชาชนลงคะแนนผ่านทางอินเทอร์เน็ต ส่งข้อความสั้นทางโทรศัพท์มือถือ และทางหนังสือพิมพ์
      
       ในขั้นตอนสุดท้ายมีคณะกรรมการซึ่งเป็นกลุ่มคณะผู้แทนจากสถานทูตประเทศต่างๆประจำประเทศจีน พิจารณาให้คะแนนและตัดสินอีกครั้ง จากสถานสำคัญเกือบ 200 แห่งทั่วประเทศ ในที่สุดก็คัดเลือกออกมาเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยงต่างชาติ 50 แห่งนี้
      
       หลังจากที่มีการประกาศผลรายชื่อสถานที่ท่องเที่ยวทั้ง 50 แห่ง ณ มหาศาลาประชาคม ในกรุงปักกิ่ง ไปเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรากฏว่า ประชาชนที่มารอฟังผลต่างรู้สึกเสียดายที่วังโปตะลาของทิเบต ทะเลสาบซีหูในหังโจว และเมืองเก่าลี่เจียงซึ่งเป็นเมืองมรดกโลกของมณฑลหยุนหนันกลับหลุดโผ  รวมไปถึงทะเลสาบหลูกูหูของซื่อชวนและดินแดนเชียงกรีล่าอันงดงามเลื่องชื่อก็ไม่ติดอยู่ใน 50 อันดับเช่นกัน จึงสร้างความประหลาดใจให้กับประชาชน เนื่องจากสถานที่เหล่านี้ล้วนได้ชื่อว่าเป็นหน้าตาของการท่องเที่ยวจีนมาตลอด
      
       ด้านฝ่ายผู้จัดไม่ได้ส่งตัวแทนออกมาชี้แจงโดยตรงต่อประเด็นสงสัยดังกล่าว เพียงแต่แถลงว่า การจัดทำรายชื่อชุดนี้เพื่อเป็นคู่มือประกอบการพิจารณาให้กับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางเข้ามาในจีน ตามแผนผลักดันการท่องเที่ยวจีนออกสู่ตลาดสากล  หลังจากนี้เจ้าหน้าที่ประจำสถานทูตได้มีการนำประกาศนียบัตรไปมอบให้กับสถานที่ต่างๆทั้ง 50 แห่งเพื่อเป็นเกียรติประวัติต่อไป .
+
+

วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2555

มิลาน เมืองแห่งอดีตและอนาคต


มิลาน (Milan) หรือที่คนอิตาเลียนเรียกว่ามิลาโน่ (Milano) เป็นเมืองหลวงทางแฟชันของโลกแข่งกับปารีสในประเทศฝรั่งเศส เป็นศูนย์กลางทางธุรกิจของอิตาลี นอกจากนั้นยังมีภาพวาดเฟรสโก้ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง และโรงละครโอเปร่าอันลือชื่อ วันนี้เราจะพาไปเดินเล่นรอบเมืองมิลานกัน

จุดแรกสุดที่ต้องแวะชมก่อนคือมหาวิหารแห่งเมืองมิลาน หรือที่เรียกว่าดูโอโม (Duomo) ชื่อนี้ไว้ใช้เรียกมหาวิหารประจำเมือง แทบจะมีดูโอโม่ทุกเมืองที่สำคัญ ๆ เลย น่าจะเป็นจุดศูนย์รวมจิตใจของคนในเมือง ดูโอโม่ที่เมืองนี้สร้างในสถาปัตยกรรมแบบโกธิก เป็นมหาวิหารที่ใหญ่เป็นอับดับสองรองจากมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ในกรุงวาติกัน

มหาวิหารแห่งนี้เริ่มสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1386 แต่มาแล้วเสร็จ 400 กว่าปีหลังจากนั้น คือในปี ค.ศ.1813 ด้านนอกเป็นยอดแหลม 135 ยอด จึงมีชื่อเล่นว่า "มหาวิหารเม่น" มีรูปสลักหินอ่อนจากยุคต่าง ๆ ประดับอยู่กว่าสามพันรูป

ยอดที่สูงที่สุดประดับด้วยรูปสลักพระแม่มาเรียสูง 4 เมตร หุ้มด้วยทองคำทั้งองค์ มีชื่อเรียกว่า "มาดอนนิน่า" (Madonnina)

ภายในมหาวิหารดูเรียบง่าย แต่โอ่อ่ากว้างขวาง ตามแบบโกธิก

ด้านหน้ามหาวิหารจะเป็นลานกว้าง เรียกว่า ปิอาซซ่า เดล ดูโอโม (Piazza del Doumo) เป็นศูนย์กลาง เป็นแหล่งชุมนุมของผู้คนมาทุกยุคสมัย

ด้านข้างของจตุรัสหน้าดูโอโมทางทิศเหนือ จะเห็นทางเข้ากัลเลเรีย วิตโตรีโอ เอมานูเอล ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าที่หรูหราอลังการแห่งเมืองมิลาน

ภายในห้างเป็นโดมแก้ว มีห้างร้านต่าง ๆ มากมาย  คล้ายกับอีกแห่งที่เมืองเนเปิลส์

น่าเดินเล่นเนอะ

ทะลุออกมาอีกด้านจะเจอโรงอุปรากรชื่อก้องโลก ลา สกาล่า (Teatro alla Scala) แห่งเมืองมิลาน สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ.1776-1778 ฝันอยากได้ไปดูอุปรากรที่โรงนี้ซักหนในชีวิต จะมีโอกาสป่าวน้อ

ข้างนอกดูงั้น ๆ แต่ข้างในสุดแสนจะเลิศหรูอลังการ

ใครรู้จักบุคคลในภาพบ้าง ถ้ารู้จักหมดแสดงว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้ดนตรีคลาสสิกคนหนึ่งเลย

ด้านหน้าลา สกาล่า เป็นลานอีกแล้ว เรียกว่าปิอาซซ่า เดลลา สกาลา มีรูปปั้นของศิลปินที่มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่งของโลก คือลีโอนาร์โด ดาวินชี (Leonardo da Vinci)

ในยุคนั้น เจ้าผู้ปกครองเมืองมิลานได้ว่าจ้างลีโอนาร์โดชาวเมืองฟลอเรนซ์ ให้มาผลิตผลงานที่เมืองมิลานแทน อยู่ฟลอเรนซ์ลำบาก ศิลปินดัง ๆ เยอะแยะอย่างเช่นมิเคลันเจโล หลบมาอยู่มิลานดีกว่า ไม่ค่อยมีคู่แข่ง ผลงานชิ้นสำคัญก้องโลกคือภาพวาดปูนเปียกที่ชื่อว่า The Last Supper อยู่ในเมืองมิลานนี่เอง ที่โบสถ์ซานตา มาเรีย เดลเล กราเซีย (Santa Maria delle Grazie) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ เป็นแห่งเดียวในมิลานที่ถูกกำหนดให้เป็นมรดโลก

ภาพ The Last Supper วาดโดยใช้เทคนิคการวาดภาพแบบปูนเปียก ลีโอนาร์โดได้ทดลองเรื่องของสีเพื่อให้อยู่ทนได้นาน ปัจจุบันยังคงเป็นที่ถกเถียงกันว่าวิธีการของท่านเป็นวิธีที่ทำให้สีทนนานขึ้นหรือว่าเป็นการให้อายุสั้นลง รวมทั้งวิธีการซ่อมแซมภาพนี้ก็ยังคงเป็นที่โต้เถียงกันอยู่ อย่างไรก็ตามภาพเขียนนี้มีคุณค่าและความสำคัญอย่างมาก จนแดน บราวน์ได้หยิบไปแต่งเป็นหนังสือนิยายสืบสวนเรื่องรหัสลับดาวินชี (Da Vinci Code)

การจะเข้าชมภาพวาดนี้ต้องจองล่วงหน้าทางโทรศัพท์ มีการจำกัดจำนวนคนและเวลาที่อนุญาตให้ชม ซึ่งปกติก็ประมาณ 15-20 นาทีเท่านั้น ใครที่อยากชมอย่าลืมจองล่วงหน้านาน ๆ หน่อยนะครับ

ภาพนี้กว้าง 9 เมตร สูง 4.5 เมตร แต่ละข้างของพระเยซูมีสาวกแบ่งเป็นสองกลุ่ม ๆ ละ 3 คน รวม 12 คน เป็นฉากที่บรรยายถึงขณะที่พระเยซูประกาศว่ามีสาวกหนึ่งในนั้นที่จะทรยศต่อพระเยซู

จุดสำคัญแห่งหนึ่งในเมืองมิลานคือปราสาทสฟอร์เซสโก้ (Castello Sforzesco) เคยเป็นป้อมปราการของพวกตระกูลวิสคอนติ (Visconti) ต่อมาเป็นที่พำนักของผู้นำเผด็จการในช่วงศตวรรษที่ 15 คือตระกูลสฟอร์ซา (Sforza)

ปัจจุบัน สถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์หลายแห่งที่สำคัญ

น้ำพุสวยงามหน้าปราสาท

จริง ๆ แล้ว มิลานไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว แต่เป็นเมืองธุรกิจมากกว่า คนที่มาเมืองนี้ส่วนใหญ่จะเป็นนักธุรกิจหรือนักช้อปตัวยงมากกว่า

ตึกพิเรลลี่ (Pirelli Tower) เป็นตึกที่สูงที่สุดในมิลานและเคยสูงที่สุดในอิตาลีด้วย

แฟนฟุตบอลอิตาลีอาจจะอยากชมสนามบอลซานซิโร ซึ่งเป็นสนามเหย้าของทั้งทีมเอซีมิลานและอินเตอร์มิลาน แต่ต้องนั่งรถออกไปจากตัวเมืองนะครับถ้าจะไปชมสนามหรือชมการแข่งขันที่สนามนี้

วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555

Wonder Girls 'Be My Baby' ทำสถิติเอ็มวียอดผู้ชมเกาหลีสูงสุดใน YouTube

       21 ธันวาคม 2554 เว็บไซต์วีดีโออันดับหนึ่งของโลก YouTube เปิดเผยผลการจัดอันดับตลอดปี 2011 ในหมวดหมู่ 10 อันดับ มิวสิควิดีโอที่มีชาวเกาหลีคลิกเข้าชมมากที่สุด โดยเกิดจากการรวบรวมสถิติตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งตั้งแต่อันดับที่ 1 ถึง 10 นั้นตกเป็นของวงเกิร์ลกรุ๊ปทั้งหมดอีกด้วย
ถึงแม้ว่าในปีนี้ไอดอลชายจะมีความโดดเด่นในการทำกิจกรรมเช่นเดียวกัน แต่รายชื่อพวกเขากลับไม่ได้ติดใน TOP10 มิวสิควีดีโอที่ชาวเกาหลีคลิกชมแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้ทำให้ปี 2011 นับเป็นปีแห่งกระแสเกิร์ลกรุ๊ป K-POP อย่างแท้จริง

มิวสิควีดีโอที่ได้รับความสนใจจากชาวเกาหลีมากที่สุดจนสามารถคว้าอันดับที่ 1 ในตารางนั้นตกเป็นของเกิร์ลกรุ๊ป Wonder Girls กับเพลงไตเติ้ลล่าสุด 'Be My Baby' (http://www.youtube.com/watch?v=3fy4cqWMhyI) โดยมิวสิควีดีโอเพลง 'Be My Baby' นั้นได้รับความสนใจจากสไตล์ภาพขาวดำย้อนยุค พวกเธอได้รับการตอบรับอย่างร้อนแรงในมาดของ 'บียอนเซ่เวอร์ชั่นเกาหลี' จากการร่วมงานกับ Jonte นักออกแบบท่าเต้นในเพลง 'Single Ladies' ของ Beyonce นั่นเอง

ท่ามกลางเกิร์ลกรุ๊ปแห่งเกาหลี ศิลปินเดี่ยวสุดฮ็อตแห่งปีอย่าง ฮยอนอา (HyunA) จาก 4minute ที่มาพร้อมกับมิวสิควีดีโอเพลง 'Bubble Pop!' (http://www.youtube.com/watch?v=bw9CALKOvAI) ก็ได้รับความนิยมจนสามารถคว้าอันดับที่ 2 ในตารางไปได้ด้วยเช่นกัน

ตามด้วยอันดับที่ 3 กับเพลง 'The Boys (http://www.youtube.com/watch?v=6pA_Tou-DPI) ของ โซนยอชิแด (So Nyeo Shi Dae) โดยมิวสิควีดีโอเพลงนี้พวกเธอมาพร้อมกับภาพลักษณ์สุดมั่นและทรงพลัง ซึ่งสามารถทำยอดผู้คลิกชมได้มากกว่า 4 ล้านครั้งภายในเวลา 3 วันเท่านั้น

ถัดมาเป็นมิวสิควีดีโอของเกิร์ลกรุ๊ปที่ประสบความสำเร็จในญี่ปุ่นอย่าง คาร่า (KARA) ในเพลง 'STEP' (http://www.youtube.com/watch?v=zYoYoBtLqOY&ob=av2e) คว้าอันดับที่ 4 นอกจากนี้ คาร่า ยังได้รับการเลือกให้คว้าอันดับที่ 1 ในผลโหวตนักร้องตัวแทนจากเกาหลีในเว็บไซต์ YouTube จากแฟนๆญี่ปุ่น ซึ่งพวกเธอไม่เพียงได้รับความนิยมในเกาหลีเท่านั้น แต่ในญี่ปุ่นพวกเธอก็ได้รับการยอมรับเป็นอย่างมากเช่นกัน

เกิร์ลกรุ๊ป 2NE1 กับเพลง 'Lonely (http://www.youtube.com/watch?v=5n4V3lGEyG4&ob=av2e)' และ 'I AM THE BEST (http://www.youtube.com/watch?v=j7_lSP8Vc3o)' สามารถคว้าอันดับที่ 5 และ 6 ในตาราง นอกจากนี้ยังมี T-ARA (7), f(x) (8), SISTAR (9) , miss A (10) ติดชาร์ตมิวสิควีดีโอที่ชาวเกาหลีคลิกชมมากที่สุดประจำปี 2011 อย่างครบถ้วนเลยทีเดียว
















วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2555

Lyon! One of the attractive destination.

ONLYLYON :the presentation of Lyon.

Lyon มนต์เสน่ห์เมืองเก่าและอาหารฝรั่งเศสที่อร่อยที่สุดในโลก
         ฤดูร้อนปีนี้ผลไม้สดในยุโรปพากันสุกโดยพร้อมเพรียงและมีปริมาณออกสู่ตลาดมากเป็นพิเศษ จึงมีผลไม้ให้เลือกอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นลูกพรุน เชอร์รี สตรอว์เบอร์รี ไปจนถึงแตงโมและแคนตาลูปหวานเจี๊ยบ ซึ่งถ้าเป็นสถานการณ์ปกติก็น่าจะเป็นช่วงรื่นเริงเบิกบาน แต่บังเอิญโลกทั้งใบเจอเข้ากับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้ผู้คนเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่เดินทางท่องเที่ยวไกลๆ เอาแค่ไปใกล้ๆ พอหอมปากหอมคอและใช้เงินอย่างระมัดระวัง แต่ถึงกระนั้นชาวยุโรปก็ยังไปอุดหนุนร้านกาแฟบนทางเท้ากันแน่นทุกที่นั่ง นั่นอาจเพราะเป็นวัฒนธรรมของพวกเขาก็เป็นได้ ส่วนราคากาแฟก็ไม่แพงนัก สั่งมาถ้วยเดียวเสียไปไม่กี่ยูโรแต่นั่งได้นาน  ทำให้บรรยากาศและเสน่ห์ของเมืองโดยภาพรวมยังดูดีอยู่

         ความจริงเสน่ห์ของยุโรปที่นอกเหนือจากวิวทิวทัศน์สวยสดงดงามราวกับปฏิทินก็คือการมีประวัติศาสตร์เก่าแก่ที่สามารถนับย้อนหลังได้เป็นพันๆ ปี แถมยังมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เป็นถาวรวัตถุให้สืบค้นย้อนกลับไปได้อีกด้วย ที่สำคัญเหนืออื่นใดคือคนยุโรปทุ่มเทและเก็บรักษาประวัติศาสตร์เหล่านั้นเอาไว้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะการรักษาเขตเมืองเก่าที่หลายแห่งในปัจจุบันยังมีผู้คนอาศัยอยู่จริงและไม่ได้ร้าง

         เขตเมืองเก่าในยุโรปมีกฎหมายพิเศษควบคุมเคร่งครัด ห้ามทุบทำลายหรือดัดแปลงใดๆ โดยไม่ได้แจ้งขออนุญาตล่วงหน้า อีกทั้งการขออนุญาตอาจไม่ผ่านการพิจารณาง่ายๆ หากมีการกระทำอันควรเชื่อว่าจะกระทบกระเทือนต่อโบราณสถาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม ใครฝ่าฝืนมีโทษปรับหนักทีเดียว ดังนั้นเวลาไปเที่ยวยุโรปตามเมืองเก่า ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าตึกเก่าบางหลังข้างหน้าดูโบราณมาก แต่ข้างในทันสมัยไฮเทค มีไฟฟ้า มีลิฟต์ มีอินเทอร์เน็ต Wi-Fi ความเร็วสูง และอะไรต่อมิอะไรอย่างที่ตึกทันสมัยสร้างใหม่มี

         การรักษาสภาพของเขตเมืองเก่าเอาไว้อย่างเข้มงวดนี้ ทำให้การไปเยือนยุโรปกี่ครั้งกี่หนทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิมหรือเกือบเหมือนเดิม ดังเช่นเมืองลียง (Lyon) ของฝรั่งเศส แม้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 รองจากปารีส แต่ชื่อเสียงความขลังของเขตเมืองเก่าก็เป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างชะงัดยิ่งกว่าสิ่งใด

          ลียงเป็นเมืองเอกของแคว้นโรน-อัลป์ (Rh๔ne-Alpes) ตั้งอยู่บริเวณภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส ถ้าออกเดินทางจากปารีสใช้ทางด่วนเส้น A6 ระยะทาง 464 กิโลเมตร ขับรถอย่างระมัดระวัง ไม่เพลินเร่งความเร็วจนโดนจับก็ราว 4 ชั่วโมงกว่าๆ ถ้านั่งรถไฟด่วน Euro-star รุ่นใหม่จะใช้เวลาราว 2 ชั่วโมงก็ถึงเมืองประวัติศาสตร์แห่งนี้

         ลียงจัดว่าเป็นเมืองสวยอีกแห่งที่มีฮวงจุ้ยตรงตามตำรา คือตัวเมืองด้านหนึ่งติดภูเขา อีกด้านติดแม่น้ำ อีกทั้งยังมีแม่น้ำถึง 2 สายคือแม่น้ำโรน (Le Rh๔ne) และแม่น้ำโซน (La Sa๔ne) ทั้งสองสายไหลจากเหนือลงใต้ผ่ากลางเมืองลียง โดยแม่น้ำโซนอยู่ด้านซ้ายและแม่น้ำโรนอยู่ด้านขวา แล้วไหลไปบรรจบกันเมื่อเลยภูเขากลางเมืองออกไปสัก 2-3 กิโลเมตร ดังนั้นจึงเกิดเป็นเกาะกลางน้ำ ลักษณะเป็นแผ่นดินเรียวยาวคล้ายปากนกกระสา ซึ่งก็คือเขตเมืองเก่าของลียงที่เรียกบริเวณนี้ว่าแปรสกิล (Presqu'ile)

          การสำรวจเมืองเก่าของลียงที่ในอดีตมีความสำคัญในฐานะเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของอาณาจักรโกล-โรมัน (ในยุคที่โรมันครอบครองยุโรป) ให้ได้อรรถรสมีอยู่วิธีเดียวคือการเดินเท่านั้น วิธีอื่นอาจใช้ได้เหมือนกัน แต่ไม่ครบถ้วน เพราะการเดินผ่านอย่างใจเย็นเข้าไปตามตรอกแคบๆ นั้น ประสาททุกส่วนของคุณจะได้รับรู้ถึงการสัมผัสในรูป รส กลิ่น เสียง และสี รวมไปถึงบรรยากาศสดๆ ยามท้องฟ้าทอแสงแดดให้สาดส่องผ่านผนังตึกเก่า ซึ่งแต่ละช่วงเวลามีมิติที่ไม่เคยเหมือนกันเลยสักวินาทีเดียว

          อย่างไรก็ตาม การเดินเที่ยวในเมืองใหญ่ๆ อย่างปารีสหรือลียงที่มีตรอกซอกซอยมากมายก็ต้องระวังตัวจากพวกนักวิ่งราวเป็นพิเศษ พวกนี้ทำกันเป็นขบวนการอย่างมีระบบและซักซ้อมมาอย่างดี เราวิ่งไล่พวกมันไม่ทันแน่นอน ดังนั้นกระเป๋าสตางค์ควรเก็บให้มิดชิด แยกเงินสดและบัตรเครดิตเอาไว้ หากพลั้งเผลอจะได้ไม่หมดตัว แต่ก็ไม่ต้องกังวลจนทำให้การท่องเที่ยวกร่อย ทั้งนี้ทั้งนั้นที่แนะนำให้เดินก็เพราะสภาพเมืองน่าเดินจริงๆ แต่จะซื่อตรงเดินกันอย่างเดียวก็เห็นทีคงขาลากหัวเข่าเสื่อมเป็นแน่ ทางที่ดีใช้ตัวช่วยที่เทศบาลเมืองลียงเขาทำไว้รองรับการเดินทางของประชาชนชาวเมือง ซึ่งนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ก็ได้ประโยชน์ไปด้วย นั่นคือการโดยสารรถไฟใต้ดินหรือที่เรียกว่าเมโทร

          เมโทรในเมืองลียงมีถึง 4 สาย คือ A, B, C และ D (สาย D เป็นระบบอัตโนมัติ ไม่มีคนขับ) ทั้งยังมีรถรางให้ใช้อีก 2 สาย (T 1 และ T 2) และมีรถเมล์อีกหลายสายนับไม่ถ้วน ขนส่งมวลชนทุกระบบใช้ตั๋วแบบเดียวกันหมด ราคาก็ไม่แพง และที่เหนือชั้นกว่าใครคือการทำระบบจักรยานให้เช่า ซึ่งช่วยให้การเดินทางหรือเที่ยวชมเมืองสะดวก รวดเร็ว และได้อรรถรสยิ่งขึ้น แถมยังไปอย่างเงียบๆ ไม่มีมลภาวะให้เป็นภาระของเมืองอีกด้วย สำหรับสถานที่ให้เช่าจักรยานก็กระจายไปตามจุดต่างๆ โดยใช้ระบบคีย์การ์ดซึ่งไปหาซื้อแล้วเสียบเอาจักรยานออกจากที่

         ล็อกได้เลย ใช้นานกี่นาทีระบบก็จะหักเงินไปเรื่อยๆ (30 นาทีแรกฟรี) ระบบจักรยานให้เช่าแบบนี้เมืองท่องเที่ยวของไทยอย่างเชียงใหม่น่าจะนำมาใช้บ้าง

         เอาล่ะ เมื่อตกลงใจว่าจะเดินเที่ยว มีรองเท้าและแผนที่พร้อมก็ออกเดินกันเลย สำหรับมือใหม่แนะนำว่าควรเริ่มต้นที่ลานปลาซแบลกูร์ (Place Bellecour) ที่ลานนี้มีจุดสังเกตคืออนุสาวรีย์พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงม้าอย่างสง่างาม ซึ่งชาวลียงภูมิใจหนักหนา เพราะประติมากรเป็นชาวลียงปั้นเองกับมือ

         หากมายืนเก้ๆ กังๆ อยู่บนลานแล้วยังรู้สึกมึนตึ๊บ ไม่รู้จะเริ่มเดินไปตรงไหนก่อนดี ก็ให้เริ่มจากไปขอคำแนะนำหรือข้อมูลจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว (Office du Tourisme) ที่อยู่ใกล้ๆ ตรงนั้น เมื่อเข้าไปแล้วจะพบแผ่นโบรชัวร์พร้อมทั้งแผนที่แจกฟรีวางไว้เต็มไปหมด เลือกเฉพาะที่สนใจจริงๆ ไม่ควรโลภหอบมาให้หนักเปล่าๆ

         ลานปลาชแบลกูร์ของเมืองลียงนี้ยืนยันได้ว่าใครๆ ก็ต้องมา โดยเฉพาะบรรดาขาชอปทั้งหลาย เพราะรอบๆ ลานมีแต่ร้านค้า ร้านอาหาร ภัตตาคาร แล้วก็ถนนชื่อวิกเตอร์ อูโก (Rue Victor Hugo) ซึ่งเป็นชื่อนักประพันธ์ชาวฝรั่งเศสที่เขียนเรื่องได้สุดแสนรันทด มีชีวิตอยู่ระหว่างปี ค.ศ.1802-1885 ผลงานของเขาเป็นที่รู้จักทั่วโลก ทั้งขณะที่มีชีวิตอยู่และเมื่อเสียชีวิตไปแล้ว วิกเตอร์ อูโกมีความสามารถหลายอย่าง เป็นทั้งนักประพันธ์ นักเขียนบทละคร จิตรกร นักปรัชญา นักประวัติศาสตร์ และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง 

         ถนนวิกเตอร์ อูโกนี้อวดความหรูของตัวเองด้วยสินค้าแบรนด์เนมทุกยี่ห้อของฝรั่งเศสและยุโรป จงเข้าไปรูดปื๊ดๆ กันให้หนำใจ และนอกจากถนนวิกเตอร์ อูโกแล้ว ลียงยังมีถนนคนเดินที่ปิดให้คนเดินอย่างเดียว ไม่มีรถวิ่งชื่อถนนเดอ ลา เรปูบลิก (Rue de la Republique) อันยาวเหยียดเดินกันขาลาก ปลายทางคือ H๔tel de Ville ถ้าเห็นคำว่า H๔tel ในฝรั่งเศสก็อย่าเข้าใจผิดคิดว่าเป็นโรงแรมไปเสียหมด เพราะที่จริงแล้วคือศาลาเทศบาลเมืองหรือ City Hall นั่นเอง

         ศาลากลางของลียงสร้างเมื่อปี ค.ศ. 1646 มีหน้าบันสวยงามมาก ลานหน้าศาลาเทศบาลมีอ่างน้ำพุขนาดใหญ่ โดยฝีมือออกแบบของเฟรเดริค ออกุสต์ บาร์โธลดี  (Frederic Auguste Bartholdi) คนออกแบบอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพที่ฝรั่งเศสมอบให้เป็นของขวัญแก่ชาวอเมริกันเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1876 ในวาระครบรอบ 100 ปีของการประกาศอิสรภาพจากอังกฤษ (เทพีเสรีภาพนี้จึงได้ไปยืนเด่นเป็นสง่าอยู่บนเกาะเบคโล ปากอ่าวแมนฮัตตันในนครนิวยอร์ก ปัจจุบันกลายเป็นมรดกโลก) 

          อย่างไรก็ตาม ตัวเมืองเก่าจริงๆ ของลียง โดยเฉพาะเขตที่เรียกว่าลิเยอร์ ลียง (Vieux Lyon) ไม่ควรพลาดชมอย่างยิ่ง ในอดีตถนนหนทางในนี้เป็นทางสัญจรของชาวลียงเนส์ (les Lyonnais) ยุคโบราณสุดคลาสสิก ลักษณะเป็นถนนแคบๆ แค่รถม้าผ่านได้ ซึ่งจะพาลัดเลาะไปตามตัวอาคารที่เคยเป็นย่านการค้าผ้าไหมอันมีชื่อเสียงของลียง 

         เดินเที่ยวอยู่ในเขตเมืองเก่าทั้งทีก็จงแหงนหน้ามองขึ้นไปบนเขาบ้าง อย่างไรเสียก็ต้องเห็น The Basilique Notre-Dame-de-Fourvi่re โบสถ์คู่บ้านคู่เมืองของลียงที่สร้างในระหว่าง ค.ศ. 1872-1896 ถ้าสนใจไปชมก็สามารถนั่งรถไฟฟ้าขึ้นไปได้ โดยขึ้นที่สถานีในเขตเมืองเก่า ซึ่งตัวโบสถ์ชูยอดแหลมเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมืองลียง มีรูปพระแม่มารีสีทองอร่ามโดดเด่นมาก ข้างในมลังเมลืองด้วยงานโมเสกชิ้นเล็กๆ ประดับเป็นภาพน้อยใหญ่ทั่วผนังโบสถ์ ชมโบสถ์ประจำเมืองแล้ว ขากลับลงเขาถ้ามีเวลาควรแวะชมโรงละครโบราณของชาวโรมัน ที่นักโบราณคดีคะเนว่าสามารถจุคนดูได้ถึงแสนคนทีเดียว

         อย่างไรก็ดี เมืองลียงไม่ได้มีเสน่ห์เฉพาะช่วงกลางวันเท่านั้น แต่กลางคืนก็สวยและโรแมนติกสุดๆ ยิ่งถ้าไปช่วงปลายปี อาคารสถานที่ต่างๆ กว่า 150 แห่งในเมืองลียงจะประดับไฟ ทั่วทั้งเมืองจะเหลืองอร่ามลออตาด้วยแสงสีแพรวพราว ชนิดที่ว่าสวยจนกลายเป็นเทศกาลชมแสงไฟยามค่ำระดับชาติไปแล้วเรียบร้อย ช่วงนั้นโรงแรมต่างๆ ถูกจับจองเต็มตลอดทั้งเดือน ที่มาที่ไปของเทศกาลนี้เริ่มมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ตอนนั้นมีโรคระบาดเกิดขึ้นในเมือง เมื่อโรคร้ายหายไปจะด้วยอะไรก็แล้วแต่ แต่ชาวเมืองลียงเชื่อว่าเป็นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงได้แสดงความขอบคุณด้วยการจุดเทียนบูชาไว้ตามบ้าน หลังจากนั้นจึงเป็นประเพณีที่ทำสืบต่อกันมาจนกลายเป็นมหกรรมใหญ่โตหยุดไม่อยู่เช่นในปัจจุบัน

         แน่นอนที่สุด เที่ยวแล้วท้องก็ต้องหิวเป็นธรรมดา ชาวลียงเนส์เขาก็แสนจะภูมิอกภูมิใจนักหนาว่าถ้าอยากกินอาหารฝรั่งเศสที่อร่อยที่สุดในโลกให้มากินที่ลียงเท่านั้น และนอกจากอร่อยแล้วยังเป็นเมืองที่มีร้านอาหารมากมาย จนได้ฉายาว่าเป็น “Capitale Mondiale de la Gastronomie” ของโลก ซึ่งก็คงจะจริง เพราะเชฟเก่งๆ เกือบร้อยทั้งร้อยมาจากลียงทั้งสิ้น ดังนั้นมาถึงถิ่นแล้วก็ต้องเข้าร้านกินอาหารฝรั่งเศสและไวน์ของที่นี่สักครั้ง อีกทั้งราคาก็ไม่แพงอย่างที่จินตนาการไปเองเลย ส่วนเครปของตาย... เอาไว้กินตอนเงินหมดละกัน


Reference : http://www.gourmetthai.com/newsite/travel/travel_detail.php?content_code=CONT992
เป็นประเทศที่สวยงามมาก น่าไปท่องเที่ยว

ข้อมูลการท่องเที่ยวประเทศรัสเซีย

ข้อมูลการท่องเที่ยวประเทศรัสเซียข้อมูลทั่วไป: ประเทศรัสเซีย หรือ สหพันธรัฐรัสเซีย (Russian Federation) มีกรุงมอสโก (Moscow) เป็นเมืองหลวงของประเทศค่ะ

ที่ตั้ง: รัสเซียเป็นประเทศที่มีอาณาบริเวณตั้งแต่ทางตะวันออกของ ทวีปยุโรป ไปจนถึงทางเหนือของทวีปเอเชียค่ะ ซึ่งมีพรมแดนติดกับ 14 ประเทศ ทั้งยังเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก (มีขนาดเป็นสองเท่าของอันดับสอง คือ ประเทศแคนาดา) แต่เดิมประเทศรัสเซียเป็นสมาชิกของสหภาพโซเวียต เป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุด รวมถึงเป็นประเทศมีอิทธิพลที่สุดของโซเวียตอีกด้วยค่ะ

การขอวีซ่าและประเทศในรัสเซีย:
เอกสารที่ท่านจะต้องเตรียมนะคะ:
1. รูปถ่าย ขนาด 2 นิ้ว จำนวน 2 ใบ
2. หนังสือเดินทางของท่านที่มีอายุอย่างน้อย 6 เดือนหลังวีซ่าหมดอายุ
3. หนังสือรับรองการทำงานจากบริษัท หรือนายจ้าง ซึ่งจะต้องมีการระบุรายละเอียดเกี่ยวกับงานที่ทำ และจะต้องมีการอนุมัติการลาพักร้อนมาด้วยนะคะ แต่ถ้าเป็นเจ้าของบริษัทเอง จะต้องแสดงหนังสือจดทะเบียนบริษัทมาด้วยค่ะ
4. เอกสารรับรองห้องพักจากทางโรงแรมในรัสเซีย

สถานเทูตไทยในรัสเซีย: (Royal Thai Embassy, Moscow) 9 Bolshaya Spasskaya Ulitsa. โทร: (7-095) 208 0817, 208 0856, 208 7283 แฟกซ์: (7-095) 290 9659 (CIS and Russia) (7-502) 222 4739 (จากต่างประเทศ)

สถานกงสุลไทยในรัสเซีย: สถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก: Royal Thai Consulate, 9 Bolshoy Prospekt, St. Petersburg โทร: (7-812) 325 6271, 323 2538 แฟกซ์: (7-812) 325 6313

สถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ กรุงเยเรวาน ประเทศอาร์เมเนีย: Royal Thai Consulate, 8 Amiryan St. Yerevan, Armenia โทร: (3742) 560 410 แฟกซ์: (3742) 151 757

ภาษาที่ใช้: ภาษาทางราชการ คือ ภาษารัสเซีย และใช้ภาษาอังกฤษ กับภาษาเยอรมันในการติดต่อทางธุรกิจ ส่วนในแต่ละรัฐ ก็จะใช้ภาษารัสเซีย และภาษาท้องถิ่นของตนเองเป็นภาษาราชการ

สภาพอากาศ: เขตภูมิอากาศที่มีความหลากหลาย และแตกต่างระหว่างกันอย่างยิ่ง ทำให้ประเทศรัสเซียมีฤดูหนาวที่ยาวนาน อากาศหนาวจัด รวมทั้งพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ ถูกปกคลุมด้วยหิมะเป็นเวลานานถึง 6 เดือนกันเลยทีเดียวค่ะ นอกจากนี้ ระยะเวลาที่เหมาะสมในการติดต่อทางธุรกิจและราชการกับชาวรัสเซียคือ ตั้งแต่เดือน กันยายนถึงกลางเดือนธันวาคม และกลางเดือนมกราคมถึงปลายเดือนมิถุนายนนะคะ ส่วนช่วงเวลาที่เหมาะกับการท่องเที่ยวของคนไทยคือ ตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนตุลาคมค่ะ

ความแตกต่างของเวลา: ประเทศรัสเซียมีความแตกต่างของเวลาระหว่างตะวันตกและตะวันออก 11 เขตเวลาค่ะ โดยเวลาของกรุงมอสโกจะช้ากว่าเวลาของกรุงเทพฯ ประมาณ 3 ชั่วโมงในช่วงเดือนเมษายนถึงตุลาคม และจะช้ากว่าบ้านเรา 4 ชั่วโมงในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงมีนาคมนะคะ เพราะฉะนั้น นักท่องเที่ยวต่างชาติอย่าลืมปรับเวลาที่นาฬิกาของท่าน เมื่อเดินทางถึงเมืองมอสโกด้วยนะคะ

ธงประจำชาติ ประเทศรัสเซียค่าเงิน และการธนาคาร: รัสเซียใช้เงินสกุล รูเบิล (ruble: RUR) ค่ะ โดยมีอัตราแลกเปลี่ยน 1 RUR เท่ากับประมาณ 1.40 บาทไทย

การเดินทาง: ถ้านักท่องเที่ยวต้องการเดินทางจากไทยเข้าสู่รัสเซีย มีจุดเดินทางเข้าประเทศอยู่ 3 แห่งด้วยกันนะคะ คือ ที่กรุงมอสโก (Moscow) นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (St. Petersburg) และเมืองวลาดิวอสต๊อก (Vladivostok) ค่ะ ท่านอาจเลือกโดยสารเครื่องบินเพื่อเดินทางเข้าไปยังจุดเข้าประเทศต่างๆ ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจุดหมายปลายทางของท่านเป็นหลักนะคะ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าต้องเดินทางไปรัสเซียฝั่งยุโรป ควรต้องเข้ารัสเซียทางกรุงมอสโก หรือ นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก โดยใช้เส้นทางกรุงเทพ-มอสโกค่ะ แต่หากผู้เดินทางมีธุระกับรัสเซียฝั่งเอเชีย ขอแนะนำให้บินจากกรุงเทพฯ เข้าประเทศที่เมือง วลาดิวอสต๊อก ได้เลยนะคะ แล้วจึงต่อเครื่องบินของสายการบินภายในประเทศ ไปยังเมืองปลายทางของท่านได้โดยไม่อ้อมและเสียเวลาด้วยค่ะ

ส่วนการเดินทางภายในเมืองนั้น ประเทศรัสเซียมีรถยนต์โดยสาร รถไฟใต้ดิน รถรางไฟฟ้า ส่วนรถแท็กซี่มีจำนวนน้อยและมีราคาค่อนข้างแพงค่ะ

ระบบโทรศัพท์: รหัสโทรศัพท์ของประเทศรัสเซียคือ +7 หากนักท่องเที่ยวต้องการโทรศัพท์ไปต่างประเทศ: กด 8 รอสัญญาณ ตามด้วย 10 + รหัสประเทศ + รหัสเมือง + หมายเลขที่ต้องการโทรออกค่ะ

หมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ:
1. ไฟไหม้: 01
2. ตำรวจ: 02
3. รถพยาบาล: 03
4. โรงพยาบาล: American Medical Center 933 7700 European Medical Center 956 7999, 251 6099
5. บัตรเครดิตหาย: 755 9001 (American Express), 956 3556 (Visa, Masters, Diners)
6. เรียกแท็กซี่: Central Moscow Bureau 927 0000-9


ข้อแนะนำพิเศษ: ในกรุงมอสโกและเมืองใหญ่ๆ มักจะมีกลุ่มมิจฉาชีพ ส่วนมากเป็นคนเชื้อสายยิปซี จึงควรระมัดระวังรักษาทรัพย์สินของท่านทั้งในบริเวณสถานที่ท่องเที่ยวและตามที่สาธารณะทั่วไปด้วยนะคะ

เนื้อตุ๋นในครีมเข้มข้น (Beef Stroganoff) อาหารท้องถิ่น: อาหารที่เป็นที่นิยมของชาวรัสเซียนจะเป็นพวก ซุปกะหล่ำแบบดั้งเดิม (Shchi) ซุปบีทรูท (Borsch) สลัดมันฝรั่ง (Stilichnii) สตูว์หมู (Azu) เนื้อตุ๋นในครีมเข้มข้น (Beef Stroganoff) ฯลฯ หรือจะไปลิ้มลองอาหารแบบคอเคซัสตามร้านอาหาร หรือภัตตาคารภายในที่พักในรัสเซียของท่านก็น่าสนใจนะคะ อาทิ อาหารจอร์เจียน อาหารอาร์เมเนียน และอาหารอัสซูเรียน (อาเซอร์ไบจัน) ที่โดดเด่นด้วยรสชาติเผ็ดร้อนแบบตะวันออก อาหารจานเด็ดของเขาได้แก่ เนื้อแกะ และ เนื้อปลาสเตอร์เจียนค่ะ สำหรับอาหารแป้งประจำชาติของรัสเซียก็คือ แพนเค้ก แพนเค้กที่นี่เป็นได้ทั้งของคาวและของหวานเลยค่ะ ถ้าเป็นของหวานจะมีเอกลักษณ์ตรงแป้งที่เหนียวนุ่มและมีไส้อยู่ข้างใน ซึ่งมีไส้ให้ท่านได้เลือกชิมอย่างหลากหลาย ส่วนอาหารที่แพงที่สุดของประเทศคือ คาเวียร์ หรือไข่ดำจากปลาสเตอร์เจี้ยน นิยมโปะหน้าแพนเค้กกันค่ะ หากท่านมีโอกาสอย่าลืมไปแวะชิมให้ได้นะคะ

แหล่งช้อปปิ้ง: สถานที่ช้อปปิ้งสินค้าที่ระลึกจากประเทศรัสเซียอยู่ที่ ถนนคนเดิน อารบัท สตรีท เช่น ตุ๊กตามาทรอชก้า หรือตุ๊กตาแม่ลูกดก แต่ถ้าต้องการสินค้าแบรนด์เนมชื่อดังของยุโรปยี่ห้อต่างๆ ต้องไปที่ห้างสรรพสินค้ากุม (GUM) ค่ะ


อ้างอิง : http://thai.monoplanet.com/guide-book/russia.html

VIETNAM :: เวียดนาม รอยยิ้มแห่งเอเชีย


เวียดนาม

เวียดนาม (Vietnam) หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (Socialist Republic of Vietnam) เวียดนามเป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีพรมแดนติดกับประเทศจีน ทางทิศเหนือ ประเทศลาว และประเทศกัมพูชา ทางทิศตะวันตก และอ่าวตังเกี๋ย ทะเลจีนใต้ ทางทิศตะวันออก

ที่มาของชื่อประเทศเวียดนาม  คำว่า "เวียด" เป็นมาจากภาษาจีน แปลว่า ไกลออกไกล หรือ เดินทางผ่านไป

คำว่าเวียดหมายถึงประเทศหนึ่งที่อยู่ห่างไกลจากจีนและฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ
ส่วน "นาม" แปลว่า ทิศใต้ ดังนั้นชื่อเวียดนามชื่อว่าดินแดนทางตอนใต้ของชาวเวียด หรือ ดินแดนที่ชาวเวียดนามอาศัยอยู่

ชาวเวียดนามเป็นเผ่าที่รู้จักกันมาแต่โบราณ เป็นพวกที่ชอบล่าสัตว์และอพยพโยกย้ายถิ่นฐานอยู่เสมอประวัติศาสตร์อันยาวนานของผู้บุกรุกชาวต่างชาติ ได้เรียกชื่อเวียดนามไปต่างๆมากมายหลายชื่อนับตั้งแต่ พ.ศ. 1835 มาร์โคโปโลได้แล่นเรือเรียบชายฝั่งเวียดนามได้บันทึกว่า เกากิกุ (Caugigu)เรียกว่า ยาวจิกวาน (Giao Chi Quan) ชาวมาเลย์ เรียกว่า กุตชิ (Kutchi) ชาวญี่ปุ่น เรียกว่า ก็อตซิ (Kotchi)ต่อมาในยุคล่าอาณานิคมฝรั่งเศสเรียกชื่อส่วนที่เป็นประเทศเวียดนามในคาสมุทรอินโดจีนว่า
"แคว้นตังเกี๋ย อานนาม และ โคชินไซน่า"

 เมืองหลวง: ฮานอย  
 ภาษาราชการ: ภาษาเวียดนาม
 สกุลเงิน: ด่อง (₫) (VND)


ฮานอย

         เมืองหลวงของประเทศเวียดนาม มีประชากรประมาณ 4,100,000 คน (พ.ศ. 2547) ในอดีตเคยเป็นเมืองหลวงของเวียตนามเหนือระหว่าง พ.ศ. 2497 ถึง พ.ศ. 2519 และก่อนหน้านั้นเคยเป็นเมืองหลวงของพื้นที่เวียตนามในปัจจุบันเป็นครั้งคราวตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 11 จนถึง พ.ศ. 2345 ฮานอยตั้งอยู่บนฝั่งขวาของแม่น้ำแดง อุตสาหกรรมในเมืองคือเครื่องจักร, ไม้อัด สิ่งทอ, สารเคมี และงานหัตถกรรม ฮานอยตั้งอยู่ที่ 21°2' หรือ 105°51' ตะวันออก
เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2551 ได้มีการขยายเขตกรุงฮานอยไปอีก โดยครอบคลุมบริเวณมากกว่าเดิมถึง 3 เท่า เพื่อรองรับการเติบโตของเมือง และเมื่อถึงเดือนตุลาคม 2553 ก็จะครบวาระ 1000 ปีการสถาปนาเมือง
"ฮานอย" หมายถึงตอนต้นของแม่น้ำ ตั้งอยู่ตอนต้นอยู่บนลุ่มแม่น้ำแดง ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์ลี้สถาปนาขึ้นเป็นเมืองหลวงในปี พ.ศ. 1553 โดยใช้ชื่อว่า "ทังลอง" แปลว่า "มังกรเหิน" จนกระทั่ง พ.ศ. 2345 กษัตริย์ราชวงศ์เหงียนได้ย้ายเมือหลวงไปอยู่เมือง "เว้" เมื่อตกเป็นส่วนหนึ่งของอินโดจีนของฝรั่งเศส ฮานอยจึงกลับมาเป็นเมืองหลวงอย่างเป็นทางการอีกครั้งใน พ.ศ. 2430 ภายหลังได้รับเอกราชในปี พ.ศ. 2489 ดินแดนเวียดนามแยกออกเป็นสองประเทศ โดยฮานอยเป็นเมืองหลวงของเวียดนามเหนือ เมื่อรวมประเทศใน พ.ศ. 2519 จึงเป็นเมืองหลวงหนึ่งเดียวของเวียดนามในปัจจุบัน








มาเด้อ...ไปเที่ยวลาวกัน

สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในประเทศลาว
            หลายปีมานี้เอง ลาว กำลังพัฒนาการท่องเที่ยวอย่าง ต่อเนื่องลาว เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวเพื่อสัญจรท่อง ไปยังขุนเขา ลำน้ำ อุโมงค์ และ เมืองต่างๆที่มีภูมิทัศน์มหัศจรรย์ที่สวยสดงดงามตาที่ธรรมชาติมอบไว้ให้ ตระการไปกับภาพอดีตแห่งความรุ่งเรืองบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาต่างๆของอาณาจักร ล้านช้าง ลาวมีสภาพไม่ต่างไปจากไทยเมื่อสมัย 30 ปีก่อน ที่มีการค้าพาณิชย์และ ความเจริญรุ่งเรืองอยู่เพียงประปรายเท่านั้นแม่น้ำโขงที่เป็นพรมแดนธรรมชาติ แบ่งสองชนชาติผ่าน ฝั่งไทย และ ลาว แต่วิถีชีวิตบนสองฟากฝั่ง แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เมืองหลวงพระบาง หรือ นครล้านช้าง เมืองแห่งมรดกโลก "หลวงพระบาง " เมืองแห่งมรดกโลก ซึ่งเคยเป็นนครหลวงและเป็น ที่ประทับของกษัตริย์ลาวมาถึงศตวรรษที่ 16 ได้รับการอนุรักษ์ ไว้เป็นอย่างดีจนได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นหนึ่งในมรดกโลก ในสมัยโบราณนั้น เมืองหลวงพระบางเคยเป็นที่ตั้งของแว่นแคว้น ต่างๆของชนเผ่าไท-ลาว ในเขตลุ่มแม่น้ำโขง-แม่น้ำคาน แม่น้ำอู และแม่น้ำเชืองมาก่อนในปี ค.ศ.1353 เจ้าฟ้างุ้มได้มีการรวบรวมแผ่นดิน ก่อตั้งอาณาจักรล้านช้างขึ้นในบริเวณเมืองหลวงพระบาง ซึ่งเป็นสมัยที่เรียกว่า "เมืองชวา"เพระามีชาวชวาเข้ามาอาศัยอยู่มาก ครั้นในปี ค.ศ.1357 จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นเมือง "เชียงทอง"
          ต่อมาไม่นานนัก พระเจ้าแผ่นดินของเขมรได้ส่งพระบางซึ่งเป็นพระพุทธรูป แบบสิงหลมาพระราชทานให้ เจ้าฟ้างุ้มจึงทรงเปลี่ยนชื่อเมือง เป็น "หลวงพระบาง" ตามชื่อพระพุทธรูปในปี ค.ศ.1545 พระเจ้าโพธิสาร โปรดให้ย้ายเมืองหลวงของอาณาจักรล้านช้างมาอยู่ เวียงจันทร์แต่หลวงพระบางก็ยังคงเป็นราชธานี ที่ประทับของเจ้ามหาชีวิตอยู่ดังเดิม หลังปี ค.ศ.1694 นครล้านช้างล่มสลายลงและแตกออกเป็นสามอาณาจักร คือ ล้านช้างหลวงพระบาง ล้านช้างเวียงจันทร์ และ จำปาศักดิ์ กษัตริย์สายล้านช้างหลวงพระบางยังคงสืบทอดบัลลังก์ ต่อกันเรื่อยมาจนขบวนการประเทศลาวล้มล้าง สถาบันกษัตริย์ลงในปี ค.ศ.1975 แต่ส่วนใหญ่แล้วมักตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศไทย เวียดนาม และ ฝรั่งเศสในต่างวาระกัน
          วัดเชียงทอง
       ตั้งอยู่บนถนนโพธิสารราช ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงพอดี วัดเชียงทองเป็นวัดที่สำคัญและสวยงาม ได้รับการมาเยือนชมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกมากที่สุดก็ว่าได้ นักโบราณคดียกย่องว่าวัดเชียงทอง เป็นดั่งอัญมณีแห่งสถาปัตยกรรมลาว วัดเชียงทองสร้างขึ้นก่อนหน้าที่ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชจะย้ายเมืองหลวงไปยังนครเวียงจันทร์ไม่นานนัก และยังได้รับการอุปถัมภ์จากเจ้ามหาชีวิตสว่างวงค์ และเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา กษัตริย์สองพระองค์สุดท้ายของลาว รูปแบบสถาปัตยกรรมทางศาสนา แบบหลวงพระบางแท้ คือมีหลังคาแอ่นโค้ง และลาดลงต่ำมากจนแลดูค่อนข้างเตี้ย พระโพธิสารราชเจ้า ทรงสร้างวัดเชียงทองขึ้นในปี ค.ศ. 1560 และมีฐานะเป็นวัดหลวงในพระราชูปถัมภ์เรื่อยมาจนถึงปี 1975 ติดกับพระอุโบสถมีวิหารเล็กๆหลังหนึ่งเรียกกันว่า "วิหารแดง" ภายในประดิษฐฐานพระพุทธรูปไสยาสน์ที่งามแปลกตากว่าที่อื่นใดด้วยสัดส่วน จีวรที่จีบเป็นริ้วโค้งออกมาทางด้านนอกตรงเหนือช้อพระบาท และ พระหัตถ์ซึ่งรองรับพระเศียรไว้อย่างสง่างาม และอ่อนช้อย พระพุทธรูปองค์นี้เคยถูกนำไปจัดแสดงอยู่ที่กรุงปารีสในปี ค.ศ. 1931 และ ไปประดิษฐานอยู่เวียงจันทร์หลายสิบปีก่อนกลับคืนสู่หลวงพระบางในปี ค.ศ.1964
วัดแสนสุขาราม
         ในบรรดาวัดท้งหมดวัดแสนสุขารามนั้นที่เป็นเจ้าของ พระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่ 
องค์เดียวในเมืองหลวงพระบาง เป็นวัดเก่าแก่ที่ถูกสร้าง ภายหลังหลวงพระบางแยกออกจากนครเวียงจันทร์เมื่อ 11 ปีที่แล้วเป็นอีกอาณาจักรหนึ่งก่อนหน้านั้นบริเวณที่สร้างวัดแสนสุขารามมีวัดเก่าอยู่ก่อนหน้านั้นสร้างขึ้นเมื่อ คริสตวรรษที่ 15 พระยืนที่สูงและใหญ่ที่สุดในหลวงพระบาง มีพระพักตร์ที่งดงามผ่องแผ้ว ข้างหอพระยืนมีหอรอยพระพุทธบาทจำลอง ส่วนพระอุโบสถดูงดงามอลังการด้วยการ
ทาสีแดงและเขียนภาพสีทองลงบนพื้นแดงภายในมีการตกแต่งประดับประดาที่มีสีสัน
สวยสดงดงามหาที่ติ พระประธานมีความงามชดช้อย
วัดใหม่สุวรรณภูมาราม 
      ชาวหลวงพระบาง เรียกสั้นๆว่า วัดใหม่ ซึ่งมีอายุในต้นศตวรรษ ที่ 19 และ เคยเป็นที่ประทับของ สมเด็จพระสังฆราชลาว มาก่อน อุโบสถของวัดนี้สร้างด้วยเครื่องไม้มีหลังคาซ้อนกัน ห้าชั้นตามแบบหลวงพระบาง กำแพงพระระเบียงด้านหน้า ทำเป็นลายรดน้ำปิดทองเล่าเรื่องรามายณะและพระเวสสันดรชาดก พระบางเคย ประดิษฐานอยู่ที่วัดนี้ในครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 และ ในวันปีใหม่จะมีการแห่แหน พระบางออกมา ให้ประชาชนได้สักการะบูชากันที่นี่ ปัจจุบันวัดใหม่ใช้เป็นโรงเรียนปริยัติธรรม 
พระราชวังหลวงพระบาง
ซึ่งตั้งอยู่ทางขึ้นภูษีทางบันไดด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ อยู่ใกล้กับที่ตั้งของ พระราชวัง มีถนนศรีสว่างวงค์สายเล็กๆคั่นเอาไว้นักท่องเที่ยวจึงสามารถเดินเที่ยวชมพระราชวัง ค่าเข้าชมที่นี่คนละ 10,000 กีบ ภายในจัดแสดงประวัติศาสตร์ อันเก่าแก่ของเมืองหลวงพระบาง พระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี 1904 เพื่อเป็นที่ประทับของพระเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงค์ ลักษณะ เป็นศิลปะแบบลาวผสมฝรั่งเศส มีแผนผังเป็นรูปกากบาท และ สร้างฐานซ้อนกันหลายชั้น ห้องโถงด้านหน้าเป็นที่ประดิษฐาน พระบางซึ่งเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของลาว องค์พระสูง 83 เซนติเมตร พระหัตถ์แสดงปางอภัยมุทรา หล่อขึ้นด้วยทองคำ บริสุทธิ์เกือบทั้งองค์ รวมน้ำหนักทั้งสิ้นราว 43 ถึง 54 กิโลกรัม คามตำนานเล่าว่า พระพุทธรูปองค์นี้สร้างขึ้นที่เกาะสิงหลเมื่อราวศตวรรษ ที่ 1 เจ้าฟ้างุ้ม ทรงได้รับพระราชทานจากกษัตริย์เขมรมาอีกต่อหนึ่ง แต่ก็ต้องตกไปอยู่ในเมืองสยามถึงสองครั้ง ปี 1779 และ 1827 จน ปี 1867 พระบาทสมเด็จพระจอเกล้าฯจึงทรงโปรดเกล้าฯพระราชทานกลับคืน ไปให้ภายในห้องยังมีฉากลับแลผ้าไหมปักลวดลาย ด้วยฝีมือ ประณีตและงาช้างแกะสลักอีกไม่น้อยที่เหลือเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ภาพบุดคล บรรณาการจากต่างชาติ และ งานศิลปะมากมายและงานประดับกระเบื้องอยู่รอบๆตัวอาคาร และ ยังมีโรงละครภายในราชวัง ตรงข้ามหอพระบางซึ่งเย็นวันนี้จะมีการแสดง พระลักษณ์ พระราม ในเวลา 18.00 น. เป็นการแสดงของนักเรียน ซึ่งเพิ่งเริ่มเปิดการแสดงไม่นานนี้เองซึ่งใช้เวลาที่นี่ ต้องก่อน 11.00 น. เพราะพระราชววังจากปิดรับประทานอาหารเที่ยง และ นอนพัก ซึ่งที่นี่จะเปิดอีกที ก็ประมาณ 13.00 น.

วัดวิชุนราช 
ซึ่งตั้งอยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองหลวงพระบาง ถนน วิชุนราช ค่าเข้าชมคนละ 5,000 กีบ ในบรรดาวัดทั้งหมดของเมืองหลวงพระบางเป็นต้องยกให ้วัดวิชุน ในความแปลกที่พระธาตุเจดีย์ รูปโค้งมนเหมือนผลแตงโม และ เจดีย์รูปทรงแปลกตานี้เอง ที่กระทรวงแถลงข่าว และวัฒนธรรมของลาวยกให้มีความสำคัญ ความโดดเด่น ของวัดวิชุน แม้เพียงนั่งรถผ่านไปถนนวิชุนราชก็ จะแลเห็นเจดีย์รูปแตงโมผ่าครึ่งนี้สะดุดตา และ ภายในพระอุโบสถของวัดวิชุน ด้านหลังของพระประธานมีโบราณวัตถุที่เก็บรวบรวมมาจากวัดร้างต่างๆ ในหลวงพระบาง เช่น พระพุทธรูปสำริด ไม้จำหลัดลวดลายต่างๆ พระพุทธรูปไม้แกะสลักลงรัก ปิดทองเท่าคนจริงจำนวนมาก พระธาตุจอมษีบนยอดเขาสูงสุดของภูษี สถานที่ท่องเที่ยที่นิยมมากที่สุดที่ไม่ควรพลาด เป็นสเมือน "ถ้ามาถึงหลวงพระบาง ไม่ได้ขึ้นยอดเขาภูษีถือว่าไม่ถึง หลวงพระบาง หรือ เที่ยวเชียงใหม่ แล้วไม่ขึ้นไหว้พระธาตุดอยสุเทพ ก็มาไม่ถึงเชียงใหม่เช่นเดียวกัน" ยอดเขาภูษี เพื่อจะชมความงามของพระอาทิตย์ตกดิน ยอดเขา ภูษี เป็นยอดเขาที่มีความสูงราว 150 เมตร ตั้งอยู่ใจกลางเมือง หลวงพระบาง การได้เดินขึ้นไปบนยอดเขาภูษี 328 ขั้น ทำให้เห็นเมืองหลวงพระบาง และ เห็นสายลำแม่น้ำโขงและ แม่น้ำคานอย่างชัดเจน และ ใกล้นี้เองก็ชมพระธาตุจอมสี ตั้งอยู่บนยอดสูงของภูษี พระธาตุสามารถมองเห็นได้แต่ไกลรอบๆเมือง หลวงพระบาง ตัวพระธาตุเป็นทรงดอกบัวสี่เหลี่ยมทาสีทอง ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมยอดประดับด้วยเศวตฉัตรทองสำริด 7 ชั้น สูงประมาณ 21 เมตร ช่วงที่งดงามมากที่สุด คือช่วงบ่าย แสงแดดจะสาดส่องมายังที่พระธาตุให้เห็นเป็นสีทองเหลืองอร่ามตา มีทางเดินรอบๆพระธาตุนักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกดินกันที่นี่ สเมือนที่นี่เป็นจุดนัดพบของเหล่านักท่องเที่ยวนานาชาติ ที่กระหายหาความงดงามของพระอาทิตย์ยามอัสดงอย่างแน่นหนาทีเดียว

ตลาดม้ง
เป็นตลาดของชาวม้งที่อาศัยอยู่บริเวณรอบหลวงพระบาง เป็นชนกลุ่มน้อย กลุ่มหนึ่งที่มีความสำคัญ และ มีบทบาทในประเทศลาวมาก ตลาดม้งเป็นตลาดที่ เป็นสินค้าจากชาวเขาเผ่าม้งของลาว เช่น ผ้าทอปักลวดลายต่างๆ เช่น ปลอกหมอน กระเป๋า ผ้าห่ม เสื้อผ้า และ เครื่องเงิน ที่มีราคาถูกและ ย่อมเยา "ถ้ำติ่ง" ซึ่งเป็นสถานที่นักท่องเที่ยวนิยมจะมาแวะเยี่ยมชม ค่าเข้าชมถ้ำ ก็คนละ 8000 กีบ หรือ 20 บาท ก็ได้ ถ้ำติ่งประกอบด้วย 2 ถ้ำแยกด้านขวาไปถ้ำติ่งลุ่ม (ล่าง) แยกซ้ายไปถ้ำติ่งเทิง (บน) ถ้ำติ่งลุ่ม หรือ ถ้ำติ่งล่างนั้น สูง 60 เมตรจากพื้นน้ำมีลักษณะเป็นโพรงถ้ำตื้นเล็กๆมีหินงอกหินย้อย แต่ไม่ค่อยสวยเท่าไรนัก เป็นถ้ำที่มีพระพุทธรูปจำนวนมากมายหลายขนาด ส่วนมากเป็นพระยืนซะส่วนใหญ่ เจ้าหน้าที่ได้เล่าให้เราฟังว่า "สมัยโบราณเป็นที่สักการะบวงสรวงวิญญาณ ผีฟ้า ผี แถน และ เทวดาผาติ่ง ถ้ำติ่งแสดงถึงยุคแห่ง การปฏิวัติทางความเชื่อของชาวลาวในอดีตที่เคยนับถือผีพระเจ้าโพธิสารราชทรงเลื่อมใสพุทธศาสนา เป็นผู้นำพุทธศาสนาเข้ามา และ ทรงใช้ถ้ำติ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธ์ทางพุทธศาสนา มีการค้นพบพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในคริสตวรรษที่ 18-19 กว่า 2500 องค์ ส่วนใหญ่ทำจากไม้ เมื่อตอนค้นพบใหม่ๆมีพระพุทธรูปจำนวนหนึ่งที่ทำด้วยเงิน และ ทองคำ แต่ถูกลอกออกไปหมด" ส่วนถ้ำติ่งบนนั้นต้องเดินขึ้นไปบนเขาขึ้นบันไดประมาณ 200 ขั้น สองข้างทางร่มรื่นไปด้วยเงาไม้ มีห้องสุขาให้ไว้ คอยบริการสำหรับนักท่องเที่ยว สะดวกสบายมาก ถ้ำติ่งบนเป็นถ้ำไม่ค่อยลึกเท่าไร มีพระพุทธรูปอยู่มนถ้ำแต่ไม่มากเท่ากับถ้ำติ่งล่าง 

นครเวียงจันทน์
         
พระธาตุหลวง สัญลักษณ์ของประเทศลาว เป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือ เรียกว่า สปป. ลาว ตั้งอยูบริเวณริมแม่น้ำโขงด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามของอำเภอ ศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคายของไทย เมืองหลวงรูปพระจันทร์เสี้ยวแห่งนี้ ยังคงไว้ความสงบ เมื่อเทียบกับเมืองหลวงที่สับสนหลายแห่งในเอเซีย บรรยากาศความรุ่งโรจน์ที่เสื่อมสลายลงเรื่อยๆขับเน้นให้เสน่ห์อันเรียบง่ายของเวียงจันทน์ แม้ลาวจะเปลี่ยนไปมากตลอด 25 ปีที่ตกอยู่ในการปกครองแบบคอมมิวนิตย์ แต่เวียงจันทน์ก็ยังรักษาจิตวิญญาณ ของเมืองโบราณอยู่ตามวิถีของมันแบบค่อยเป็นค่อยไป ช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมาเวียงจันทน์มักต้องรับศึกต้อง ตกเป็น เมืองขึ้นของต่างชาติตลอดเวลา ไม่ว่าเป็นไทย เวียดนาม พม่า เขมร รวมทั้งฝรั่งเศส และ อเมริกา แต่ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ ไว้อย่างเหนียวแน่นทั้งด้านความศรัทธาของพุทธศาสนาซึ่งอยู่ในหัวใจของชนชาวลาว ตลอดจนขนบะรรมเนียมประเพณีที่ดูอย่างดีงามผสมผสานอย่างเรียบง่ายคล้ายคลึงกับอีสานบ้านเรา จึงทำให้นักท่องเที่ยวไทยมีความรู้สึกอบอุ่น เหมือนอยู่เมืองไทยนี้เอง และ อีกอย่างหนึ่งเวียงจันทน์ เป็นแหล่ง จำหน่ายสินค้า ด้านหัตถกรรม ผ้าฝ้ายทอมือ รวมทั้ง เครื่องเงินที่มีราคาถูก
ให้คนไทยได้ซื้อหาเป็นของฝาก กับบ้าน นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางท่องเที่ยว เดินทางผ่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว สามารถท่องเที่ยว แบบ ไปเช้า- เย็นกลับ หรือ แบบ ค้างแรม 1-2 คืน โดยไม่ต้องใช้หนังสือเดินทาง เพียงแต่ทำใบผ่านแดนเท่านั้น สามารถติดต่อได้ที่ บริษัทท่องเที่ยวด้านฝั่งจังหวัด หนองคาย สะดวก สบาย อยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของประตูชัย พระธาตุหลวงแห่งนครเวียงจันทน์ถือว่าเป็นศาสนสถาน ที่สำคัญที่สุดของประเทศลาว และ สัญลักษณ์ประจำชาติของลาว มีความหมายของประชาชนชาวลาว เป็นอย่างมาก พระธาตุหลวงสร้างเมื่อปี ค.ศ.1566 เป็นเจดีย์ที่มีลักษณะอันโดดเด่นที่สุด ในอาณาจักรล้านช้าง ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชเจ้า มีเรื่องเล่ากันว่า คณะฑูตจากอินเดีย ได้มีการอัญเชิญพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้ามาประดิษฐานไว้ที่นี่ใน ศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล พระธาตุหลวงได้มีการสร้างขึ้นโดยแรงศรัทธาของประชาชนชาวลาว และ สมเด็นพระเชษฐา ได้มีการตั้งชื่อ พระธาตุหลวงว่า เจดีย์โลกจุฬามุณี องค์ประกอบแต่ละส่วนเป็นสัญลักษณ์แทนภพภูมิต่างๆ โดยฐานหมายถึง กามภูมิ องค์ระฆังหมายถึงรูปภูมิ และ ส่วนยอดหมายถึง อรูปภูมิ ตามระเบียงมีประติมากรรม ระหว่างลาว กับ กัมพูชา นอกจากนั้นในช่วงของเจ้าอนุวงค์ได้มีบัญชาให้เจาะช่องหน้าต่างเล็กๆ เอาไว้บนผนังเพื่อต่อต้านข้าศึก แต่ก็มีประโยนช์น้อย จนพระธาตุหลวงถูกทำลายเสียหายไปมาก จนปี ค.ศ.1931 ฝรั่งเศสจึงได้บูรณะขึ้นใหม่โดยใช้เวลานานถึง 4 ปีเต็ม 

หอพระแก้ว
อยู่บนถนนเชษฐาธิราช ติดกับทำเนียบประธานประเทศ เดิมเป็นวัดหลวงประจำราชวงค์ลาว พระเชษฐาธิราช มีประประสงค์ให้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2108 เพื่อใช้เป็นสถานที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตที่ได้อัญเชิญมาจากล้านนา และเมื่อครองบัลลังก์ล้านช้างหลังจากพระโพธิสารสิ้นพระชนม์ลงในศึกสงครามกับสยามประเทศ เมื่อปี พ.ศ.2322 นครเวียงจันทน์ถูกกองทัพสยามตีแตกพ่าย กองทัพสยามได้เอาพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ของนครเวียงจันทน์ไปพร้อมกับกวาดต้อนพระราชวงค์ลาวไปยังกรุงเทพ แม้กองทัพสยามจะทำการบูรณะเท่าไร วัดนี้ก็ต้องถูกกองทัพสยามเหยียบย่ำทำลายลงอีก สำหรับหอพระแก้วปัจจุบันที่เห็นบูรณะใหม่ขึ้นมาทั้งหมด โดย การควบคุมดูแลการก่อสร้างของเจ้าสุวรรณภูมา ซึ่งจบการศึกษาด้านวิศกรรมจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ต่อมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศลาวหลังจากที่ประเทศลาวได้รับเอกราช

วัดสีสะเกด
ตั้งอยู่บนถนนเชษฐาธิราช ตรงข้ามกับหอพระแก้ว เจ้าอนุวงค์ทรงให้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2361 เนื่องจากในสมัยนั้น ลาวตกเป็นเมืองขึ้นของกองทัพสยาม เจ้าอนุวงค์จึงออกแบบวัดตามอย่างศิลปะไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น จึงเป็นสาเหตุที่กองทัพสยามไม่ทำลายวัดแห่งนี้ หลังบุกเข้าสู่นครเวียงจันทน์ในปี พ.ศ. 2371 วัดสีสะเกดจึงอาจนับว่า เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองเพราะวัดอื่นๆที่เหลืออยู่ ผนังด้านในของระเบียงที่รอบอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปเงิน และ ดินเผา มากกว่า 2,000 องค์ ส่วนใหญ่ เป็นพระที่สร้างที่เวียงจันทน์ในช่วงศตวรรษที่ 16 ถึง 19 ปัจจุบันวัดสีสะเกดเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช ของลาว

ประตูชัย
ตั้งอยู่ทาง ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของนครเวียงจันทน์ สร้างเสร็จในปี พ.ศ.2512 เป็นอนุสรณ์สถานเพื่อระลึก ถึงประชาชนชาวลาว ผู้เสียสละชีวิตในสงครามก่อนหน้าการปฎิวัติของพรรคคอมมิวนิตย์ ประตูชัยแห่งนี้มีชื่อเรียกว่า รันเวย์แนวตั้ง เพราะการก่อสร้างประตูชัยแห่งนี้ใช้ปูนซิเมนต์ที่อเมริกาซื้อมาเพื่อนำมาสร้างสนามบินใหม่ใน นครเวียงจันทน์ในระหว่างสงครามอินโดจีน แต่ไม่ทันสร้างเพราะอเมริกาพ่ายเวียดนามเสียก่อน จึงนำปูนเหล่านั้นมากสร้างประตูชัยแทน ตามลักษณะประคูชัยที่กรุงปารีส ประเทศ ฝรั่งเศส แต่ลักษณะสถาปัตยกรรม ก็ยังคงเป็นลักษณะของลาว วังเวียง หรือ กุ้ยหลิน แห่งเมืองลาว เป็นเมืองเล็กๆที่เงียบสงบอยู่ทางตอนเหนือของนครเวียงจันทน์ ห่างจากนครเวียงจันทน์ เพียง 160 กิโลเมตร ตามถนนหมายเลข 13 วังเวียง สวรรค์บนดิน ที่มีความสวยงามแบบอมตะ และมนต์เสน่ห์ที่ยากจะหาชมได้ในปัจจุบัน ด้วยความเงียบสงบ และ บรรยากาศ แบบ สบายๆ ที่นักท่องเที่ยวทุกมุนโลก ต่างนิยมมาท่องเที่ยว เมืองวังเวียงแห่งนี้ หรือ เปรียบได้ว่า เป็น ถนน ข้าวสาร ของเมืองลาว อีกแห่งก็ว่าซึ่งเป็นสถานที่ชุมนุม หรือ นัดหมาย ของนักท่องเที่ยว แบบ Backpacker จากทั่วทุกมุนโลกที่ต้องการท่องเที่ยวแบบผจญภัย และ แบบพักผ่อน แบบ ไม่เร่งรีบ และที่สำคัญ เมืองวังเวียงแห่งนี้ สถานที่พัก และ อาหาร ราคาถูกย่อมเยาว์ ไม่แพงอย่างที่คิด จึงไม่แปลกใจเลยว่า ที่วังเวียงเป็นแหล่งรวม นักท่องเที่ยว แบบ Backpacker วังเวียงเป็นแหล่งที่ เทือกเขาหินปูน และ เต็มไปด้วยถ้ำที่สวยงามอยู่มากมายที่จะรอนักท่องเที่ยวมายลโฉม

วังเวียง มีสถานที่ท่องเที่ยว และ กิจกรรม ที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าเป็น การล่องเรือ คายัด ตามลำน้ำแม่น้ำโสม ชมความงามของเทือกเขาหินปูน และ วิถีชีวิตของคนลาว ที่สวยงามยากจะหาชมได้ในปัจจุบัน
ถ้ำจัน
เป็นถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในวังเวียง ถ้ำนี้เคยเป็นที่กำบัง และ หลบซ่อนในการต่อต้ากบฎ จีนฮ่อในช่วงศตวรรษที่ 19 และ อีกหลายถ้ำ ที่คุณสามารถติดต่อกับ ไกค์ท้องถิ่น ตามสถานที่พัก ของท่าน จะคอยอำนวยความสะดวกให้กับคุณ เมืองปากเซ แขวง จำปาศักดิ์ เมืองปากเซ เป็นเมืองท่าเมืองหนึ่งของแขวงจำปาศักดิ์ เป็นเมืองแห่งเศรษฐกิจ และ การค้าขาย ของลาวทางเขตภาคใต้ ซึ่งมีความเจริญกว่า เมืองจำปาศักดิ์ และ มีระยะทางใกล้กับชายแดนช่องเม็ก และติดอยู่กับเขตชองจังหวัดอุบลราชธานี การเดินทางคมนาคมขนส่ง จากประเทศไทย สู่เมือง ปากเซ นั้นสะดวกอย่างง่ายดาย
เมืองปากเซ ไม่เคยเป็นถิ่นกำเนิดของอารยธรรมโบราณเหมือนสุวรรณเขต และ หลวงพระบาง ฝรั่งเศสได้มีการก่อตั้งเมือง แห่งนี้ขึ้นในปี 1905 เพื่อทานอำนาจของจำปาศักดิ์ ซึ่งมีประวัติความเป็นมาเก่าแก่ย้อนไปถึงยุคก่อนการเข้ามาตั้งรกราก ของพวกเขมร ปากเซตั้งอยู่บริเวณจุดบรรจบของแม่น้ำโดนกับแม่น้ำโขง และ มีพื้นที่เพียงครึ่งหนึ่งของสุวรรณเขต เท่านั้น ปากเซมีประชากรอยู่ราว 100,000 คน เศษ แต่มีความหลากหลายทางอุปนิสัยและชาติพันธุ์อย่างยิ่ง นอกจากนั้นยังมีชาวเวียดนาม และ ชาวจีน เข้ามาตั้งอาศัยรกรากอยู่อีกไม่น้อยบรรยากาศโดยทั่วไปค่อนข้างผ่อน คลาย ไม่เข้มงวดอะไรนัก การโดยสารรถจากสุวรรณเขตมายังปากเซใช้เวลาราวเจ็ดชั่วโมง และ ยิ่งเข้าเขตทางใต้ ลึกเข้ามาใด ถนนก็ยิ่งแย่ลงเท่านั้น แต่ทางการก็เร่งปรับปรุงเส้นทางอยู่แผนผังเมืองปากเซเป็นตารางสี่เหลี่ยมตัดกัน
จึงไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องทิศทาง