วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เที่ยวชมความโรแมนติกของฤดูใบไม้ร่วงที่ นิวอิงแลนด์


     สีสันของธรรมชาติยามผลัดเปลี่ยนฤดูกาล งดงามราวกับชีวิตกำลังแต่งแต้มความสุขนิยามใหม่ฉันใดก็ฉันนั้น????เมื่อใดที่พูดถึงป่าผลัดใบต้องยกนิ้วให้รัฐทั้งหกของนิวอิงแลนด์ ซึ่งงดงามชนิดหาที่ใดเหมือน?ขอนำพาคุณไปทำความรู้จักกับสวรรค์สีทองของนัก เดินทางผู้รักธรรมชาติ
     จุดหมายปลายทางของเที่ยวบินคือสนามบินโลแกน ของนครบอสตัน และในตอนค่ำของวันเดียวกันเราก็ได้นั่งอย่างสุขสบายที่ด้านหน้าเตาผิงของ โรงแรม และฟังผู้ชายจากเผ่าโมฮอว์กเล่าเรื่องการผจญภัยในฤดูร้อนของอินเดียนแดง เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับนักล่าแห่งผาสูง ที่ล้มหมียักษ์ในฤดูใบไม้ร่วง แล้วเลือดของมันไหลชะโลมลงดิน และแต่งแต้มสีป่าจนเป็นสีแดง
ความงดงามดุจภาพวาดของรัฐเมน
????????? การผจญภัยที่สนุกสนานในแผ่นดินนิวอิงแลนด์ที่กว้างใหญ่? เริ่มต้นด้วยการล่องเรือแคนูที่ทะเลสาบมูสเฮด (Moosehead Lake) ในเขตอุทยานแบ็กซ์เตอร์ (Baxter State Park) หรือการเดินเที่ยวชมป่าท่ามกลางธรรมชาติที่โรแมนติกในอุทยานแห่งชาติอะคาเดีย (Acadia National Park) แล้วปิดท้ายด้วยการเดินชมเมืองที่สวยงามของแคมเดน (Camden)
ทัวร์นิวแฮมไซร์
?????????? บนถนนสายฝัน แคนคามากัส ไฮเวย์ (Kancamagus Highway) ที่สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้เล็กใหญ่ผลัดใบเป็นสีแดง เหลือง และสีทอง ถนนสายนี้อยู่ในเขตป่าของเทือกเขาไวต์ (White Mountains)
เวอร์มอนต์ในความฝัน?
????????? ที่เมืองวอลเดน (Walden) และเพลนฟีลด์ (Plainfield) จะมีงานพาเหรดจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองฤดูใบไม้ร่วงในทุกปี กิจกรรมอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือ การเยี่ยมชมฟาร์ม โดยเฉพาะที่มอร์ส ฟาร์ม (Morse Farm)มีการสาธิตวิธีสกัดน้ำเชื่อมไซรัปจากต้นเมเปิ้ล และที่น่าสังเกต เราสามารถมองเห็นสะพานคลุมหลังคา (Covered Bridge) หรือ “สะพานคู่รัก” สัญลักษณ์ของความโรแมนติกอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง
ย้อนความหลังที่แมสซาชูเซ็ตส์
?????????? เราเดินทางตามรอยอินเดียนแดงไปตามเส้นทางโมฮอว์ก? เทรล (Mohawk Trail) ถนนของนักฝัน เสน่ห์อันงดงามในอดีตรอเราอยู่ที่หมู่บ้านโอลด์ สเตอร์บริดจ์ วิลเลจ (Old Sturbridge Village) ที่ซึ่งยังคงสภาพและบรรยากาศแบบยุคต้นศตวรรษที่ 19 ไว้ได้เหมือนเดิม
ช้อปปิ้งในคอนเน็กติกัต
?????????? รถไฟสายวัลเลย์ เรลโรด (Valley Railroad) เมื่อได้ร่วมเดินทางไปกับรถไฟสายนี้ ก็รู้สึกได้ถึงการเดินทางที่ยากจะลืม มันเป็นขบวนรถไฟหัวจักรไอน้ำจากปี ค.ศ.1920 ที่แม้ดูเก่าแต่อบอุ่นสะดวกสบาย หลังจากนั้นถึงเวลาช้อปปิ้งที่วอเตอร์เบอรี่(Waterbury) ซึ่งมีร้านขายของเก่าและของที่ระลึกมากกว่า 50 ร้าน ให้เลือกซื้อเป็นของฝากติดกระเป๋า
ดื่มด่ำห้วงทะเลที่ โรด ไอซ์แลนด์
?
????????? ที่รัฐนี้เต็มไปด้วยหมู่บ้านประมงขนาดเล็ก ที่พักแบบ สไตล์วิกตอเรียน อีกทั้งยังมีภาพพระอาทิตย์ตกดินที่งดงามและโรแมนติกให้ทัศนาปิดท้ายด้วยเมนู กุ้งก้ามกรามอาหารจานเด็ด ก่อนอำลาจากทริปนิวอิงแลนด์อันแสนสุข

เที่ยวเมืองดูไบ พักที่โรงแรมสุดหรูแกรนด์แอทแลนทิส


ดูไบ (อาหรับ: ????, Dubayy?; อังกฤษ: Dubai) เป็นรัฐ (เอมิเรต) หนึ่งใน 7 รัฐแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเป็นที่ตั้งของเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ คือเมืองดูไบ มีพื้นที่ประมาณ 4,000 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรประมาณ 2 ล้านคน เมืองดูไบถือได้ว่าเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่งบนโลก และมีอัตราการเจริญเติบโตของเมืองสูงมาก
เมืองดูไบตั้งอยู่บนชาวฝั่งอ่าวเปอร์เซีย ทางตอนเหนือของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และมีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 16 เมตร รัฐดูไบติดต่อกับรัฐอาบูดาบีทางทิศใต้ ติดกับรัฐชาร์จาห์ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และประเทศโอมานทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ และยังมีแผ่นดินส่วนแยกติดกับเมืองฮัตตา ซึ่งมีประเทศโอมานและรัฐอื่นๆ ได้แก่ รัฐอัจมาน (ทิศตะวันตก) รัฐรอส อัลคอยมะห์ (ทิศเหนือ) และอ่าวเปอร์เซียทางทิศตะวันตก และมีพื้นที่ครอบคลุม 4,114 ตารางกิโลเมตร (1,588 ตารางไมล์)
นอกจากจะสร้างเมืองบนทะเลทรายแล้ว ความน่าทึ่งของดูไบยังไม่หมดแค่นั้น ดูไบยังสามารถถมทะเลเ พื่อสร้างเมืองบนเกาะเทียมที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้อีกด้วย ทั้งหมดนั้นคือวิสัยทัศน์ของ เชค โมฮัมเหม็ด บิน ราชิต อัล มาคทูม ( Shiekh Mohammed bin Rashid Al Maktoum) เจ้าผู้ปกครองเมืองดูไบ นายกรัฐมนตรี และรองประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐอาหรับเอมิเรตส์
??????
อภิมหาโปรเจ็คที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก The Palm Islands เป็นโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลให้กลายเป็นแหล่งความเจริญทั้งที่อยู่อาศัย โรงแรม และรีสอร์ท ต่างๆ ด้วยงบลงทุนหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ โดยการถมทะเลอาหรับ ชายฝั่งทะเลในอ่าวเปอร์เซียมาสร้างเป็นเกาะที่หากดูจากมุมสูงหรือดูจากบนเครื่องบิน จะเห็นคล้ายรูปต้นอินทผลัม พืชในตระกูลปาล์ม ล้อมรอบด้วยเสี้ยววงกลม นับได้ว่าเป็นเกาะที่สร้างขึ้นโดยน้ำมือมนุษย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งหลายๆคนคงรู้จากข่าวคราวอันโด่งดังเมื่อไม่กี่ปีก่อน
นอกจากนี้ที่ยิ่งใหญ่ขนาดที่ไม่ได้มีให้ดูบ่อยๆ กับพิธีเปิดโรงแรมสุดหรู แกรนด์แอทแลนทิส ที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับอิมิเรตส์? เชิญชมภาพกันเลย
?

วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เที่ยวเมืองหลวงเก่าของอินเดีย


เที่ยวเมืองหลวงเก่าของอินเดีย ที่เมืองกัลกัตตา
เมืองกัลกัตตา อินเดีย
ประเทศอินเดีย ดินแดนแห่งประเพณี วัฒนธรรม รวมไปถึงธรรมชาติอันงดงามชนิดที่ว่ายากต่อการหาที่ใดเหมือน แน่นอนว่ามนต์เสน่ห์ของกลิ่นอายเครื่องเทศนั้น คงจะดึงดูดให้คุณและเราออกไปผจญภัยร่วมกันอยู่บ่อยครั้งแน่นอน
???? เมืองกัลกัตตา (Kolkata) ก็เป็นอีกหนึ่งในหลายๆเมืองที่มีความสำคัญทางด้านการท่องเที่ยวของประเทศอินเดีย ในอดีตเคยเป็นเมืองหลวงเก่าของอินเดีย และเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของประเทศอีกด้วย
หลังจากที่ต้องมนต์เสน่ห์ของเมืองเข้าให้แล้ว หลายคนคงอยากทราบว่าอดีตเมืองหลวงแห่งนี้ จะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอย่าไรบ้าง รับรองว่าคุณมาไม่เสียเที่ยวอย่างแน่นอน
อนุสาวรีย์วิคตอเรีย (Victoria Memorial)อนุสาวรีย์แห่งชัยชนะของอังกฤษ โดยอนุสาวรีย์ถูกสร้างเป็นอาคารขนาดใหญ่ ตัวอาคารทำด้วยหินอ่อนทั้งหลัง หลังคาทำเป็นรูปโดม มีทั้ง ศิลปะของอังกฤษ ผสมกับของอินเดียอาคารหลังนี้ สูงใหญ่เด่นเป็นสง่า และเป็นที่เชิดชูของเมืองกัลกัตตา
อาคารศาลาว่าการเมือง (Town Hall)อาคารที่สร้างขึ้นในสถาปัตยกรรมแบบดอริก ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1813 เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวนิยมแวะมาเยือนอยู่เสมอ
วัดเจ้าแม่กาลี (Dakshineswar Kali Temple)อีกหนึ่งวัดฮินดูที่ตั้งอยู่ฝั่งแม่น้ำฮูกรี (Hooghly River) วัดที่เป็นหนึ่งในสถานที่แสวงบุญที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในเมืองกัลกัตตา โดยวัดถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1855 โดยรานี ราชโมนี สตรีหม้ายที่ร่ำรวย และมีศรัทธาในศาสนา ซึ่งมิได้เกิดในวรรณะพราหมณ์ ดังนั้นพวก เคร่งศาสนา และวรรณะจึงต่อต้าน
ภายในไม่มีพราหมณ์รับประกอบพิธีในเทวาลัย มีเพียงรามากฤษณะนารามหรรษา ซึ่งยังอยู่ในวัยเด็กรับทำหน้าที่ และใช้เป็นที่สั่งสอนเผยแพร่ลัทธิความเชื่อที่รวมเอาส่วนดีของทุกศาสนามารวมไว้ด้วยกัน และให้เป็นหนึ่งห้องที่ท่านผู้นี้เคยอยู่ ได้รับการอนุรักษ์ไว้ อย่างดี
นอกจากนี้หลังคาเทวาลัยยังมียอดถึง 9 ยอด เป็นสถาปัตยกรรมที่งดงามมากเป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพ พระ นางภาบัติธาริณี ซึ่งเป็นประหนึ่งของเจ้าแม่กาลี และในบริเวณริมฝั่งแม่น้ำ ยังมีเทวาลัยพระศิวะ 12 แห่ง (เวลาเปิด 15.30-21.00 น.)
มหาวิหารเซนต์ปอลแห่งเมืองกัลกัตตา (St. Paul’s Cathedral, Kolkata)อีกหนึ่งมหาวิหารแองกลิกันที่มีความงดงามมากแห่งหนึ่งของเมืองกัลกัตตา โดยมหาวิหารถูกสร้างขึ้นในปี 1839 – 1847 โดยพระสังฆราชแดเนียล วิลสัน เป็นโบสถ์ที่มีความโดดเด่นในแบบไตล์โกธิค ภายในประดับประดาไปด้วยจิตรกรรมฝาผนังและหน้าต่างกระจกสี
พิพิธภัณฑ์อินเดีย หรือ ?จาดูการ์? (Indian Museum)?ของเมืองกัลกัตตา เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย ก่อตั้งเมื่อปี 1814 แต่เปิดให้คนเข้าชมในปี 1878 เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่โตมาก มีห้องจัดแสดงทั้งหมด ๓๖ ห้อง รวบรวมโบราณวัตถุและศิลปวัตถุไว้มากมาย เป็นอาคาร รูปแบบอิตาเลี่ยนล้อมรอบด้วย สนามหญ้าเขียวขจี สร้างขึ้นเพื่อใช้เก็บ ?ทรัพย์สมบัติของชาติ?
?

เคล็ดลับการเดินทางแบบ Backpacker


Backpacking คืออะไร? และแตกต่างจากคำว่า?Hiking และ?Camping อย่างไร ศัพท์ทั้ง 3 คำนี้นักเดินทางหลาย ๆ ท่านอาจจะคงพอคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แต่เมื่อเรามีการพูดถึงการเดินป่าบางคนก็อาจจะบอกว่าไป?Camping บางคนก็อาจจะบอกว่าไป Backpacking ซึ่งเราก็คงจะเข้าใจความหมายกันว่า ไปเดินป่า แต่ความหมายจริง ๆ ของศัพท์ทั้ง 3 คำนี้จะมีความหมายต่างกันเล็กน้อย

Backpacker
Backpacker

การเดินทางท่องเที่ยวมีอยู่หลายรูปแบบ หลายประเภทด้วยกัน และการเดินทางแบบ Backpacker นั้น ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ได้รับความนิยมไม่น้อยไปกว่ารูปแบบอื่นๆ …… สำหรับวันนี้ เรามีเกร็ดน่ารู้เรื่องเที่ยว เกี่ยวกับการเตรียมตัวก่อนออกเดินทาง กับสิ่งจำเป็นทั้ง 10 อย่าง ที่นัก Backpacker ควรรู้ไว้มาฝากกันค่ะ ?… ซึ่งมีอะไรบ้างนั้น ตามไปดูกันเลย >>>

เคล็ดลับกับการเดินทางแบบ Backpacker
เคล็ดลับกับการเดินทางแบบ Backpacker

1. กระเป๋าสัมภาระ หรือ เป้ …. เป็นสิ่งแรกเลยที่เราจะต้องมองหาไว้ เพราะถ้าไม่มีกระเป๋า เราก็จะนำสัมภาระต่างๆ ไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น เราจะต้องเลือกกระเป๋าให้เหมาะสมกับการเดินทางแบบ Backpacker ซะก่อน โดยเลือกให้มีขนาดที่สามารถสะพายไหว ไม่ใหญ่จนเกินไป และมีช่องใส่ของมากๆ เข้าไว้ยิ่งดี

2. เสื้อผ้า ?. เป็นสิ่งที่จำเป็นที่ Backpacker จะต้องเตรียมไว้ โดยคำนึงถึงโปรแกรมการเดินทางว่าคุณจะไปสถานที่ท่องเที่ยวประเภทไหนบ้าง ส่วนใหญ่จะเตรียมกางเกงไปไม่เกิน 3 ตัว เสื้อไม่เกิน 5 ตัว และชุดชั้นในประมาณ 3 ? 4 ชุด เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนชุดควรจะรีบซักไว้ เพื่อเอาไว้ใส่วันถัดไปของทริป

3. ยารักษาโรค …. เป็นสิ่งที่สำคัญอีกหนึ่งอย่างเช่นกัน โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือถ้าไม่มีโรคประจำตัว อย่างน้อยก็ต้องพก พาราเซตามอล ไปซักหน่อย ยาหม่อง ยาดม พลาสเตอร์ยา แอลกอฮอล์ล้างแผล เป็นต้น

4. ผ้าเช็ดตัว และอุปกรณ์ในการอาบน้ำ …. ไม่ต้องเตรียมไปผืนใหญ่มาก แค่พอเช็ดตัวให้แห้งและสามารถนุ่งได้มิดชิดก็พอ จะได้ประหยัดเนื้อที่ในการกระเป๋าได้ ส่วนอุปกรณ์ในการอาบน้ำ ได้แก่ สบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ยาสระผม หรืออื่นๆ เท่าที่จำเป็นเท่านั้น

5. รองเท้าแตะ …. นำไปเปลี่ยนสลับกับรองเท้าผ้าใบบ้างในบางครั้ง โดยเลือกแบบราคาไม่แพง และพร้อมที่จะทิ้งได้ตลอดเวลา

6. กล้องถ่ายภาพ และอุปกรณ์เสริมที่จำเป็น ….. เป็นสิ่งที่จำเป็นอยู่ไม่น้อยสำหรับนักท่องเที่ยว เมื่อเวลาเดินทางไปเที่ยวที่ไหน ก็ควรจะมีเครื่องบันทึกความทรงจำอย่างกล้องถ่ายภาพ เพื่อจะได้เก็บไว้เป็นที่ระลึก และนำไปแชร์ให้กับคนอื่นๆ ดูได้ ว่าเราเคยไปเที่ยวที่นั่นมาแล้ว

7. หนังสือหรือคู่มือนำเที่ยว ….. ควรพกติดตัวไปไว้ด้วย จะได้ไม่พลาดกับสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญๆ ในบริเวณที่เราเดินทางไป

8. ไฟฉาย ….. เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอีกอย่างหนึ่ง ในช่วงเวลาที่เราเดินทางไปในสถานที่ที่มีแสงสว่างน้อย โดยเฉพาะในเวลาค่ำคืน

9. มีดพกเอนกประสงค์ ….. ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็น และอาจจะมีประโยชน์ในบางโอกาส อย่างเช่น การป้องกันตัวจากผู้ประสงค์ร้าย

10. ถุงพลาสติก ….. เป็นสิ่งที่อาจจะมีความจำเป็นในบางเวลา อย่างเช่น นำมาใส่สิ่งของเพื่อป้องกันไม่ให้เปียกน้ำ หรือไว้ใส่เสื้อผ้าที่เปียกน้ำก็ได้ค่ะ

และทั้งหมดนี้ ก็คือ สิ่งจำเป็นทั้ง 10 อย่าง ที่สำคัญสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวแบบ Backpacker ที่เรานำมาฝากให้เพื่อนๆ ชาวเที่ยวเมืองไทยกันค่ะ ?..




ขอบคุณข้อมูลดีดีจาก เที่ยวเมืองไทย ดอทคอม

เดินเล่นแบบสบายๆ ณ ถนนคนเดิน ปราณบุรี


ปราณบุรี เมืองท่องเที่ยวบรรยากาศริมทะเลสบายๆ มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาเที่ยวกันไม่ขาดสาย เพราะนอกจากจะทะเลสวยๆ หาดทรายขาวให้เที่ยวชมแล้ว วิถีชีวิตและความน่ารักของคนปราณบุรี ก็เป็นยังที่น่าสนใจ และสามารถแวะไปสัมผัสได้ที่ ถนนคนเดินปราณบุรี อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
สำหรับใครที่ชอบเดินตลาดเก่า ที่ปราณบุรีมีตลาดเก่าแก่อายุกว่า 200 ปี ในทุกๆ วันเสาร์จะคึกคักไปด้วยผู้คน เพราะบรรดาบ้านเรือนที่ตั้งเรียงรายได้ถูกเนรมิตให้กลายเป็นถนนคนเดิน ให้ไปย้อนยุคสัมผัสบรรยากาศเก่าๆ ซึ่งเป็นห้องแถวตั้งเรียงราย และบ้านเรือนในย่านนั้นยังคงรักษาสภาพความเป็นตลาดเก่าได้เป็นอย่างดี หลายคนจึงอดไม่ได้ที่จะถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก
ส่วนบรรดาขาช้อปของเก่า หรือสินค้ามือสอง ก็เตรียมเงินในกระเป๋ากันไว้ให้ดี ระวังจะหมดไปแบบไม่รู้ตัว เพราะบรรยากาศมันพาไป เดินช้อปเพลินๆ ฟังเพลงชิลล์ๆ สบายใจอย่าบอกใครเลย!
ถนนคนเดินปราณบุรี ตั้งอยู่ข้างๆ สถานีรถไฟปราณบุรี
เปิดทุกวันเสาร์ ตั้งแต่ 15.00 – 20.00 น.
เรื่อง: กันต์ ณ ปกรณ์
ภาพ: เศกศิลป์ กัญชนะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) งานแผนปฏิบัติการตลาดภาคกลาง และ www.เที่ยวภาคกลาง.com
credit : sanook
ท่องเที่ยว แหล่งท่องเที่ยว เที่ยวทั่วไทย สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย สถานที่ท่องเที่ยว ปราณบุรี

วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

คันไซ…เพลินทั้งเรื่องกินเรื่องเที่ยว

ญี่ปุ่นมีอะไรมากมายที่น่าสนใจในเรื่องการท่องเที่ยว ทิวทัศน์ ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี อาหาร ฯลฯ แต่หากจะใช้เวลาเพื่อความสุขพร้อมสรรพหลากรูปแบบให้อิ่มตาอิ่มกายอิ่มใจ ก็น่าจะนึกถึง “เขตคันไซ” ก่อนเลย เพราะมีทุกสิ่งที่กล่าวมาอย่างครบถ้วน ทั้งยังผสมผสานคุณค่าความเก่าแก่แห่งประวัติศาสตร์กับความทันสมัยของยุคใหม่ได้อย่างกลมกลืน โดดเด่นด้วยความมีชีวิตชีวาและไมตรีจิตที่ประทับใจผู้มาเยือน
เขตคันไซตั้งอยู่บริเวณภาคกลางตอนใต้ของเกาะฮอนชู ประกอบด้วย 8 Prefectures (เมืองระดับใหญ่กว่าจังหวัด) ได้แก่ Osaka, Kyoto, Hyogo, Nara, Shiga, Wakayama, Mie และ Fukui เป็นศูนย์กลางทางการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และเป็นแหล่งอารยธรรมความเจริญในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นตั้งแต่โบราณกาล
คันไซ
คันไซ
สภาพอากาศของเขตคันไซค่อนข้างอบอุ่นตลอดปี ประกอบกับพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำ มีภูเขาล้อมรอบ และมีเมืองสำคัญชายฝั่งทะเล จึงมีผลผลิตทางการเกษตรที่อุดมสมบูรณ์ แต่ละเมืองก็มีความพิเศษแตกต่างกันไป โดยเฉพาะ โอซากา เป็นศูนย์กลางการค้าและอุตสาหกรรมที่สำคัญ ขึ้นชื่อเรื่องอาหารอร่อย เพราะวัตถุดิบนานาชนิดจากทั่วทุกแห่งถูกลำเลียงมาขึ้นท่าที่นี่ และถูกปรุงเป็นอาหารรสเลิศโดยพ่อครัวชั้นนำจนได้รับการขนานนามว่าเป็น “ครัวของประเทศ” อันเป็นที่มาของชื่อ “Kuidaore” หรือเมืองแห่งการกิน ซึ่งหากแปลตามพจนานุกรม หมายความว่า “กินจนหมดเนื้อหมดตัว” แต่คนโอซากาหมายถึง “บรรจงกินแต่อาหารที่เอร็ดอร่อยจริงๆ”
อาหารขึ้นชื่ออื่นๆ ของคันไซ ได้แก่ เนื้อวัวโออุมิ ของชิงะ ที่กล่าวกันว่าเป็นการลิ้มรสเนื้อวัวที่เปรียบเหมือนการดื่มด่ำกับงานศิลปะชั้นเลิศ ปลามากุโระ จากวากายามะ เนื้อวัวโกเบ จากเฮียวโงะ ลูกพลับหวานกรอบ ผักมิบุนะ ฯลฯ
คันไซ ญี่ปุ่น
คันไซ ญี่ปุ่น
เขตคันไซเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงเก่าถึง 2 แห่งในยุคแรกๆ นับพันปี คือ นาราและเกียวโต ก่อนย้ายไปอยู่ที่โตเกียว มีความโดดเด่นด้านสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณี สถาปัตยกรรม และศิลปกรรมเก่าแก่ที่มีคุณค่ามากมาย มีมรดกโลกในญี่ปุ่นที่ขึ้นทะเบียนกับ UNESCO ถึง 5 แห่ง จากทั้งหมด 16 แห่ง ได้แก่ อนุสรณ์สถานของเมืองหลวงเก่าเกียวโต อนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์วัดโทไดจิและพุทธสถานวัดโฮริวจิ เมืองนารา ปราสาทฮิเมจิที่เก่าแก่และงดงามที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น เมืองเฮียวโงะ เส้นทางจาริกแสวงบุญและสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์บริเวณเทือกเขาคิอิและศาลเจ้านิอุสึฮิเมะ (Niutsuhime) เมืองวาคายามะ
นอกจากนี้ ยังมีวัดและศาลเจ้าที่สำคัญของคันไซ เช่น วัดชิเทนโนจิ (Shitennoji) วัดพุทธที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่นในโอซากา ศาลเจ้าอิมามิยะ เอบิสึ (Imamiya Ebisu) ที่นักธุรกิจและพ่อค้าแม่ขายจะพากันไปสักการบูชาเทพ Amaterasusume Oomikami Kotoshiro Nushinomikoto และเทพ Hokasanjin และเทพ Ebisu ที่มือขวาถือเบ็ดตกปลาและอุ้มปลาไว้ที่สีข้างด้านซ้าย เป็นเทพที่มอบความอุดมสมบูรณ์ให้กับท้องทะเล เชื่อกันว่าช่วยให้ทำมาค้าขายรุ่งเรือง จึงพากันไปขอพรจากเทพเจ้าในเทศกาล Toka Ebisu ทุกวันที่ 9-11 ม.ค. ซึ่งมีผู้มาร่วมงานถึง 1 ล้านคน เป็นเทศกาลที่สร้างสีสันให้กับเมืองโอซากาเป็นอย่างมาก สำหรับศาลเจ้าแห่งเมืองอิเสะ (Ise Jingu Shrine) ประกอบด้วยศาลเจ้าใหญ่ 2 แห่ง เป็นสถานที่สำหรับบูชาเทพแห่งเกษตรกรรม และสุริยเทพก็เป็นที่เคารพสักการะอย่างยิ่งของชาวญี่ปุ่นอีกแห่งหนึ่ง
คันไซ ญี่ปุ่น
คันไซ ญี่ปุ่น
สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ทั้งป่าเขาลำเนาไพร บ่อน้ำแร่ออนเซ็น สวนสาธารณะ และทิวทัศน์ที่งดงามของเมืองต่างๆ ในคันไซก็มีแตกต่างหลากหลายในทุกฤดูกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยรอบบริเวณ ทะเลสาบบิวะ ที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นในเมืองชิงะ สวนสาธารณะนารา อยู่ในบริเวณเดียวกับวัดสำคัญและเต็มไปด้วยกวางที่อยู่กันอย่างอิสระ ทั้งยังเป็นหนึ่งในสถานที่ยอดนิยมสำหรับการชมดอกซากุระด้วย สำหรับสถานที่น่าสนใจอื่นๆ ได้แก่ พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ ที่เมืองฟูกุอิ ซึ่งใหญ่เป็น 1 ใน 3 ของโลก และปราสาทวาคายามะ ที่สามารถชมทัศนียภาพของเมืองนี้ได้รอบทิศทางจากชั้นบน
หากชอบเรื่องศิลปวัฒนธรรม ประเพณี คันไซก็มีความโดดเด่นในหลายเมือง งานประเพณีประจำปีที่สำคัญของญี่ปุ่นหลายงานจัดขึ้นที่เกียวโต เช่น เทศกาลจิได (Jidai Matsuri) ในเดือน ต.ค. มีผู้ร่วมขบวนแห่แต่งกายแบบโบราณราว 2,000 คน โดยเริ่มจากหน้าพระราชวังเกียวโตไปสิ้นสุดที่ศาลเจ้าเฮอัน ส่วนการแสดงที่เป็นเอกลักษณ์ทางศิลปวัฒนธรรม ได้แก่ “คาบูกิ” (Kabuki) ละครร้องและรำโดยนักแสดงชายล้วน ซึ่งโอซากาเป็นเมืองที่ขึ้นชื่ออย่างมากในเรื่องนี้
คันไซ ญี่ปุ่น
คันไซ ญี่ปุ่น
ร่วมเพลิดเพลินกับสารพันความน่าสนใจของคันไซและลิ้มลองอาหารรสเลิศนานาชนิดได้ในงาน “ออลคันไซ เฟสติวัล” (All Kansai Festival) ระหว่างวันที่ 20-31 ต.ค. ที่ห้างสรรพสินค้าอิเซตัน โดยชั้น 1 เป็นพื้นที่นำเสนอสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของคันไซ อาทิ จำลองบรรยากาศของศาลเจ้า Imamiya Ebisu หอชมวิว Tsutenkaku และหุ่นยนต์ที่สร้างขึ้นจากสุดยอดเทคโนโลยีของโอซากา เทพ Biriken San – เทพแห่งความสุข ที่เชื่อกันว่าหากลูบฝ่าเท้าของท่านแล้วขอพรก็จะสมความปรารถนา
ส่วนชั้น 5 สาธิตการแล่ปลามากุโระ สามารถระบุส่วนที่ต้องการซื้อได้ พร้อมทั้งมุมอาหารอร่อยสไตล์คันไซแท้ๆ จากร้านที่มีชื่อเสียง ทั้งทาโกะยากิ ราเม็งยอดนิยมโดดเด่นที่เส้นโซบะแบบจีนหนากำลังดีกับน้ำซุปเข้มข้นแต่ชุ่มคอ คุชิคัทสึแบบยืนกินที่เป็นต้นตำรับ ซูชิซาชิมิที่พ่อครัวบริการทำตามสั่งแบบสดๆ เนื้อวัวชั้นเลิศ “โออุมิกิว” ที่จัดจำหน่ายในเมืองไทยเป็นครั้งแรก โดยหากเทียบกับเนื้อมัทสึซากะและเนื้อโกเบแล้วจะพบว่าเนื้อโออุมิกิวนั้นชั้นไขมันมีความละเอียดมาก รู้สึกได้ถึงรสชาติหวานและนุ่มที่ละลายไปทั่วทั้งปาก ของหวานและขนมนานาชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งช็อกโกแลตสดและชีสเค้กรสเข้มข้น ผักผลไม้ต่างๆ พร้อมทั้งจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารคุณภาพส่งตรงจากคันไซ
คันไซ ญี่ปุ่น
คันไซ ญี่ปุ่น
ช่วงวันหยุดจะมีกิจกรรมพิเศษมากมายสำหรับสมาชิกทุกคนในครอบครัวโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ที่บริเวณชั้น 1 และชั้น 6 อาทิ พิธีสวดมนต์อวยพร โดย Fukumusume, Tsutenkaku Robot, การแสดงและเกมการละเล่นที่น่ารักและสนุกสนานจาก Kansai Mascot “Yuru Chara” แสดงการต่อสู้ของซามูไร โดยนักแสดงจาก Uzumasa, Workshop การทำขลุ่ย PiroPiro ที่ยืดหดได้เมื่อเป่าลมเข้าไป พร้อมบริการถ่ายภาพกับสถานที่ท่องเที่ยวของคันไซ และยังมีการจับรางวัลสำหรับผู้ซื้อสินค้าครบ 1,000 บาท ลุ้นรับตั๋วเครื่องบินพร้อมที่พักในคันไซอีกด้วย ซึ่งจะเป็นการท่องเที่ยวพักผ่อนที่น่าประทับใจ

โดย…อิเซตัน  (นสพ.โพสต์ทูเดย์)

10 สถานที่โรแมนติกที่สุดในโลก

นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ถือว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่คู่รัก จะต้องแสดงออกถึงความรักระหว่างกันและกัน การแสดงออกในเรื่องความรัก หมายถึง การทำให้ฝ่าตรงข้ามรู้สึกประทับใจ รู้สึกดี รู้สึกผูกพัน รู้สึกว่าได้ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างเกิดประโยชน์มากขึ้น ที่เป็นที่นิยมอีกสิ่งหนึ่งก็คือ การได้ใช้เวลาไปเที่ยวพักผ่อนด้วยกันในสถานที่สวยๆ เพื่อเพิ่มความโรแมนติก และกระชับสายสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นมากขึ้นไปอีก
ต่อไปนี้คือ 10 อันดับสถานที่ ที่ถูกจัดว่า มีความโรแมนติกมากที่สุดในโลก ซึ่งน่าจะหาโอกาสพาคนรักไปเยี่ยมชม สักครั้งหนึ่งในชีวิต

อันดับที่ 10. colmar ประเทศฝรั่งเศส เมือง colmar

ถูกจัดให้เป็นเมืองที่มีความโรแมนติก เมืองหนึ่ง ของประเทศฝรั่งเศส และเป็นสถานที่ ที่คู่รัก มักจะให้คำสัญญาในความรัก ระหว่างกันและกัน สิ่งที่น่าประทับใจในเมือง colmar ก็คือ ไร่องุ่นจำนวนมาก เคียงคู่ไปกับอุตสาหกรรมการผลิตไวน์ชั้นเยี่ยม และบรรยากาศที่สวยงาม สถาปัตยกรรมของอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ ช่วยทำให้เมือง colmar เป็นอีกหนึ่งในสถานที่โรแมนติกในฝัน

อันดับที่ 9. paris ประเทศฝรั่งเศส เมืองปารีส

มีสมญานามว่า “สวรรค์แห่งความโรแมนติก” (heaven of romantic) ดังที่ สถานที่แห่งนี้ เหมาะเป็นอย่างยิ่ง ที่คุณและคนรัก จะสารภาพ “รักนิรันด์” ระหว่างกันและกัน สิ่งที่น่าประทับใจในเมืองปารีส อย่างเช่น พิพิทธภัณฑ์ le lovore (พิพิทธภัณฑ์ ที่มีผู้เข้าเยี่ยมชมมากที่สุดในโลก) หอไอเฟล โรงแรม disney land resort ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุโรป พิพิทธภัณฑ์ศิลปะ centre pompidou และสถานที่สวยงามอื่นๆ อีกมากมาย การไปเที่ยวกับคนรักที่ปารีส หากจัดสรรเวลาให้ดี ก็จะคุ้มค่ามาก และสถานที่แห่งนี้ จะเก็บความโรแมนติกอยู่ในใจของคุณไปอีกนานแสนนาน

อันดับ ที่ 8. vanice ประเทศอิตาลี

หากคุณกำลังมองหาสถานที่ ที่จะเอ่ยกับคนรักว่า เขาหรือเธอ เป็นคนที่มีค่ามากที่สุดในชีวิต venice ก็คือ คำตอบสุดท้ายสำหรับคุณ! เมือง venice มีชื่อเสียงโด่งดังในด้าน สุดยอดสถาปัตยกรรม และยังมีหลายสถานที่โรแมนติก เช่น สะพานเก่าแก่ ponte dei sospiri, จตุรัส piazza san marco ที่ได้รับสมณานามว่า “ห้องจิตกรรมของยุโรป” (the – drawing room of europe) และคลองในตัวเมือง “canale grande” ทั้งหมดนี้จะสร้างความโรแมนติก ระดับหรูหรา ให้กับคนรัก และตัวคุณ

อันดับที่ 7. schloss neuschwanstein ประเทศเยอรมันนี

สถานที่ ที่ผสมผสาน ความสวยงามตามธรรมชาติ เข้ากับจินตนาการ และความสร้างสรรค์ของมนุษย์ ได้อย่างลงตัว เมือง schloss neuschwanstein มีความสวยงาม ราวกับเป็นสวรรค์บนพื้นโลก รายล้อมไปด้วยทิวทัศน์อันสวยงาม ปราสาทเก่าแก่อายุ 100 กว่าปี (สร้างปี 1899) ซึ่งเยอรมัน ได้ถูกกล่าวขานว่า เป็นอีกประเทศหนึ่ง ที่มีปราสาทสวยงามที่สุดในยุโรป

อันดับ ที่ 6. vienna ประเทศออสเตรีย เมือง vienna ในประเทศออสเตรีย

เป็นอีกสถานที่ ที่มีคู่รักจากทั่วทุกมุมของโลก แวะเวียนมาเยี่ยมชมความสวยงาม สิ่งที่ขึ้นชื่อของเมืองนี้คือ สุดยอดสถาปัตยกรรม และสุดยอดผลงานเพลง, ศิลปะ และพิพิทธภัณฑ์ศิลปะ ที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก พระราชวัง schoenbrunn, พระราชวัง belvedere, พระราชวัง the hofburg imperial และพิพิทธภัณฑ์นักจิตวิทยาผู้โด่งดัง sigmund freud

อันดับที่ 5. monte carlo ประเทศโมนาโค เมือง monte carlo

ยังเป็นอีกหนึ่งสถานที่โรแมนติก ที่คุณจะได้สื่อความรัก ไปยังคนรักของคุณ เมืองนี้ตั้งอยู่ที่ตีนของเทือกเขาเอลป์ และเป็นสถานที่ ที่มีเรื่องราวของความรัก ก่อกำเนิดขึ้นมากมาย สิ่งที่น่าสนใจของเมือง monte carlo คือบ่อนคาสิโนเลื่องชื่อ (monte carlo casino) พิพิทธภัณธ์ทางทะเล, พิพิทธภัณฑ์ประจำชาติ และพระราชวัง prince

อันดับที่ 4. prague สาธารณรัฐเช็ก

อีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ สำหรับสถานที่โรแมนติก ก็คือ เมือง prague ของสาธารณรัฐเช็ก สถานที่แห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องอาหารอร่อย วัฒธรรม และปราสาทเก่าแก่ ผู้คนที่มีมิตรไมตรี และสุภาพอ่อนโยน เมือง prague เป็นสถานที่เกิดของนักดนตรีระดับโลก อย่าง mozart และมีชื่อเสียงในเรื่องของทางเดินอันสวยงามในเมือง ที่คู่รัก สามารถใช้เวลาเดินเล่นด้วยกัน

อันดับที่ 3. new york ประเทศสหรัฐอเมริกา

เมือง new york เหมาะสำหรับคู่รัก ที่กำลังมองหาสถานที่ ที่จะใช้ช่วงเวลาแห่งความรัก และความโรแมนติกในหลากหลายรูปแบบ ร้านอาหาร และร้านค้าจำนวนมาก และสถานที่น่าสนใจอื่นๆ เช่น สถานีรถไฟ grand central terminal, อนุสาวรีย์เทพีสันติภาพ และสวนหย่อมขนาดใหญ่ central park (มีกิจกรรมคอนเสริ์ต, มีลานสเก็ตน้ำแข็ง)

อันดับที่ 2. cairo ประเทศอียิปต์

เมือง cairo ก็ได้รับการกล่าวขานว่า เป็นสวรรค์บนโลกเช่นเดียวกัน (โดยเฉพาะสำหรับคู่รัก) ความงดงามและมนต์เสน่ห์ที่อยู่ในตัวเมือง คือแรงดึงดูด ใหคู่รักเดินทางมาใช้เวลาท่องเที่ยวที่นี่ด้วยกัน และปิรามิด ก็คือสิ่งที่พิเศษที่สุด ท่ามกลางความสยงามในตัวเมือง

อันดับที่ 1. mauritius island

สถานที่แห่งนี้ ได้รับการกล่าวขานว่า “ปลายทางสุดท้าย ที่โรแมนติกมากที่สุด” (ultimate romantic destination) เกาะ mauritius มีชื่อเสียงอย่างมาก ในหมู่คู่รักที่จะมาท่องเที่ยว หรือคู่รักที่จะมาฮันนีมูน ต้นปาล์มมากมาย ที่เคลื่อนที่พริ้วไหว ไปตามสายลม บรรยากาศที่สวยงามตามธรรมชาติ แนวหินปะการัง และท้องทะเลสีฟ้า เป็นส่วนหนึ่ง ในอีกหลายๆ สิ่ง ที่ทำให้สถานที่แห่งนี้ สวยงามจนยากที่จะลืมเลือน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.fwdder.com/topic/219360

วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555

10 อันดับเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลก


อันดับ 10 - เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย
ซิดนีย์ เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่สุดในประเทศออสเตรเลีย มีประชากรราว 4.5 ล้านคน สถานที่ท่องเที่ยวฮอตฮิตของเมืองนี้ ได้แก่ ชายหาด และอ่าวที่สวยงาม รวมทั้งสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม เช่น ซิดนีย์ โอเปร่า เฮ้าส์ เป็นต้น   นอกจากจะเป็นเมืองน่าอยู่อันดับ 10 ของโลกแล้ว Mercer ยังระบุว่า ซิดนีย์เป็นเมืองที่มีค่าครองชีพสูงเป็นอันดับ 15 ของโลกอีกด้วย
อันดับ 9 - เมืองเบอร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
เบอร์น เป็นเมืองหลวงของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่มีประชากรอาศัยมากเป็นอันดับ 5 ของประเทศ โดยมีจำนวนประชากรทั้งสิ้นราว 128,000 คน ใจกลางเมืองนี้ยังคงเอกลักษณ์ของการเป็นเมืองเก่าแก่และเต็มไปด้วยสถาปัต กรรมในยุคกลาง จึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมจากองค์การยูเนสโก
  ที่ สำคัญ เมืองเบอร์นยังเป็นสถานที่ซึ่งอัลเบิร์ต ไอน์ไตน์ เคยเข้ามาอาศัยและทำงานราวปี ค.ศ. 1903 (พ.ศ. 2446)  ปัจจุบัน บ้านของเขาซึ่งตั้งอยู่ เลขที่ 49 ถนนแครมกาซเซ่ (Kramgasse) ได้กลายเป็น พิพิธภัณฑ์บ้านไอน์ไตน์ ที่มีนักท่องเที่ยวทั่วโลกแวะมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก
อันดับ 8 - เมืองแฟรงค์เฟิร์ต  ประเทศเยอรมนี
แฟรงค์เฟิร์ต เป็นศูนย์กลางทางการเงินที่ใหญ่สุดในกลุ่มสหภาพยุโรป ทั้งยังเป็นที่ตั้งของธนาคารกลางยุโรป ตลาดหลักทรัพย์แฟรงค์เฟิร์ต และ German Federal Bank มีประชากรราว 5 ล้านคน นอกจากความมั่งคั่งทางการเงินแล้ว เมืองนี้ยังมีเอกลักษณ์อันโดดเด่นอยู่ที่วิหารแบบโกธิค สมัยศตวรรษที่ 14  ขณะเดียวกันก็มีตึกระฟ้ารูปทรงทันสมัยและสวยงามตั้งตระหง่านบริเวณใจกลาง เมืองอีกด้วย
อันดับ 7 -  เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี
มิวนิค เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศเยอรมนี และเป็นเมืองหลวงของรัฐบาวาเรีย มีประชากรราว 1.36 ล้านคน แม้จะเป็นเมืองที่เจริญและมั่งคั่งที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป แต่เมืองนี้ยังคงอนุรักษ์โบราณสถานและสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่แบบโกธิคเอาไว้ ได้เป็นอย่างดี   หลัง ถูกระเบิดโจมตีอย่างหนักถึง 71 ครั้งในช่วง 5 ปีสมัยสงครามโลกครังที่ 2  เมืองมิวนิคก็ได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่อย่างรวดเร็ว และได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ในปี ค.ศ. 1972 (พ.ศ. 2515)
อันดับ 6 - เมืองดึสเซลดอล์ฟ ประเทศเยอรมนี  
ดึสเซลดอร์ฟ เป็นเมืองหลวงของรัฐนอร์ดไรน์-เวสท์ฟาเลิน ตั้งอยู่บนแม่น้ำไรน์ ได้ชื่อว่าเป็นเมืองศูนย์กลางทางด้านแฟชั่น โฆษณา และโทรคมนาคมของประเทศเยอรมนี นอกจากนี้ ทุกๆ ปี จะมีนักท่องเที่ยวกว่า 4.5 ล้านคนทั่วโลก เดินทางมาชมขบวนพาเหรดสุดอลังการ ในช่วงเทศกาลคาร์นิวาลของเมืองดึสเซลดอร์ฟ    เมือง ดึสเซลดอร์ฟ เป็นบ้านพี่เมืองน้องหรือเมืองแฝดกับหลายๆ เมืองทั่วโลก อาทิ  เมืองวอร์ซอว์ ประเทศโปแลนด์ เมืองมอสโคว์ ประเทศรัสเซีย เมืองไคโร ประเทศอียิปต์ และ เมืองรีดดิ้ง ประเทศอังกฤษ เป็นต้น
อันดับ 4 ร่วม* - เมืองอ๊อคแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ (*คะแนนเท่ากัน 2 เมือง จึงไม่มีอันดับห้า)
อ๊อคแลนด์ ตั้งอยู่ทางเกาะเหนือ เป็นเมืองใหญ่ที่สุดและมีประชากรมากที่สุดในประเทศนิวซีแลนด์ โดยมีประชากรอาศัยอยู่ราว 1.4 ล้านคน หรือคิดเป็น 31% ของประชากรทั้งประเทศ ได้รับการขนานนามว่าเป็น "City of Sails" เนื่องจากมีท่าเทียบเรือที่สวยงามถึง 2 แห่ง คือ ท่าเรือ Waitemata ทางด้านทิศเหนือ และท่าเรือ Manukau ทางด้านทิศ
อันดับ 4 ร่วม - เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา "แวนคูเวอร์" มักได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองที่สะอาด และน่าอยู่ที่สุดในโลก เมืองดังกล่าวถือเป็นเมืองใหญ่ที่สุด และยังเป็นเมืองท่าชายฝั่งที่มีชื่อเสียงทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐบริติช โคลัมเบีย ประเทศแคนาดา   ปัจจุบัน แวนคูเวอร์ เป็นศูนย์กลางด้านการช้อปปิ้ง และการถ่ายทำภาพยนตร์ ทั้งยังเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
อันดับ 3 - เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
เจนีวา เป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับสองของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (รองจากซูริค) โดยมีประชากรอาศัยอยู่ในเขตตัวเมืองราว 185,000 คน และยังเป็นศูนย์กลางด้านการเงินที่สำคัญเป็นอันดับ 6 ของโลก   เจ นีวา ได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองนานาชาติ เนื่องจากเป็นที่ตั้งขององค์กรระหว่างชาติสำคัญๆ หลายองค์กร อาทิ สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติประจำทวีปยุโรป องค์การอนามัยโลก (WHO)  องค์การการค้าโลก (WTO) เป็นต้น นอกจากนี้ เจนีวายังเป็นสถานที่จัดตั้งองค์กรสันนิบาตชาติ และกาชาดสากล ทั้งยังเป็นต้นกำเนิดของ www (World Wide Web) ตลอดจนเครื่องเร่งอนุภาคที่มีขนาดใหญ่และมีพลังงานสูงสุดในโลก หรือที่เรียกว่า Large Hadron Collider (LHC)
อันดับ 2 - เมืองซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์  
ซูริค เป็นหนึ่งในเมืองที่มีความมั่งคั่งที่สุดในยุโรป  และมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีประชากรอาศัยอยู่ในตัวเมืองทั้งสิ้นราว 1.68 ล้านคน เมืองนี้เป็นศูนย์กลางทางด้านการค้าและวัฒนธรรมของประเทศ จนได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมของประเทศสวิตเซอร์แลนด์   นอก จากนี้ ซูริค ยังเป็นเมืองที่ได้รับการยกย่องว่ามีคุณภาพการดำเนินชีวิตดีที่สุดในโลกจาก ผลการสำรวจของหลายสำนัก นับตั้งแต่ปี ค.ศ.  2006-2009
อันดับ 1 เมืองเวียนนา ประเทศออสเตรีย
กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรเลีย ได้รับการคัดเลือกให้เป็นเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลกประจำปี 2009 จากผลการสำรวจของ Mercer   เมือง ดังกล่าวมีความเข้มแข็งและมั่นคงทั้งทางด้าน เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการเมือง ทั้งยังเป็นบ้านเกิดของพระนางมารี อังตัวเนตต์ และซิกมันด์ ฟรอยด์ นอกจากนี้ กรุงเวียนนา  ยังถูกกล่าวถึงในบทเพลงของ Ultravox และ Billy Joel อีกด้วย